การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  (1)  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  84  วรรคสอง  (1)  บัญญัติว่า  คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงซึ่งศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว

ให้นักศึกษาอธิบายว่า  ข้อเท็จจริงใดเป็นข้อเท็จจริงซึ่งศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว

ธงคำตอบ

อธิบาย

นคดีแพ่ง  ข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ถือว่าคู่ความรับกันแล้วในศาล

1       เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแล้ว  จำเลยต้องทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายใน  15  วัน  ซึ่งจำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้งว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  แต่อย่างไรก็ดี  ในกรณีดังต่อไปนี้  แม้จำเลยจะให้การโดยไม่ชัดแจ้ง  แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยยอมรับแล้ว  หรือที่เรียกว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย  ดังนี้ 

จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องข้อใด  กล่าวคือ  เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องข้อใด  ก็ถือโดยปริยายว่าจำเลยยอมรับโดยปริยายในฟ้องข้อนั้นแล้ว  เว้นแต่ในเรื่องค่าเสียหายและในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ  ซึ่งแม้จำเลยจะไม่ได้โต้แย้งในเรื่องค่าเสียหาย  หรือไม่ได้ยื่นคำให้การก็จะถือว่าจำเลยยอมรับในข้อนั้นไม่ได้

จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยไม่ชัดแจ้ง  เช่น  ให้การว่า  นอกจากที่จำเลยให้การต่อไปนี้ขอให้ถือว่าปฏิเสธฟ้องโจทก์  หรือ   นอกจากให้การไปแล้วให้ถือว่าปฏิเสธ  เป็นต้น  ซึ่งคำให้การในลักษณะนี้  ถือเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง  ต้องถือว่าจำเลยยอมรับตามฟ้อง 

2        คำรับตามที่ศาลสอบถามในการชี้สองสถาน  กล่าวคือ  ในการชี้สองสถานแต่ละฝ่ายจะต้องตอบคำถามที่ศาลถามเอง  หรือถามตามคำขอของคู่ความฝ่ายอื่น  อันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายอื่นยกขึ้นอ้าง  ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด  หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร  ให้ถือว่ายอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว  เว้นแต่คู่ความฝ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบหรือแสดงเหตุผลแห่งการปฏิเสธได้ขณะนั้น  (ป.วิ.พ. มาตรา  183  วรรคสอง)

3       คำรับตามที่คู่ความสอบถาม  กล่าวคือ  คู่ความฝ่ายใดประสงค์จะอ้างข้อเท็จจริงใดและขอให้คู่ความฝ่ายอื่นตอบรับว่าจะรับรองข้อเท็จจริงนั้นว่าถูกต้องหรือไม่  เมื่อได้ร้องขอต่อศาลในวันสืบพยานให้ศาลสอบถามคู่ความฝ่ายอื่น  ว่าจะยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นว่าถูกต้องหรือไม่  ถ้าคู่ความฝ่ายนั้นไม่ยอมตอบคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด  หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มีเหตุผลแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง  ในขณะนั้น  ให้ถือว่าได้ยอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว  เว้นแต่ศาลจะเห็นว่าคู่ความฝ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบหรือแสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งในขณะนั้น  กรณีเช่นนี้  ศาลจะมีคำสั่งให้คู่ความฝ่ายนั้นทำคำแถลงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงมายื่นต่อศาลในเวลาที่ศาลเห็นสมควรก็ได้  (ป.วิ.พ.  มาตรา  100)

4       คำรับเกี่ยวกับเอกสาร  กล่าวคือ  การไม่ส่งต้นฉบับเอกสารในความครอบครองตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  123, 124  ให้ถือว่าข้อเท็จจริงแห่งข้ออ้างที่ผู้ขอจะต้องนำสืบโดยเอกสารนั้น  คู่ความฝ่ายที่ไม่ยื่นเอกสารดังกล่าวได้ยอมรับแล้ว  หรือการไม่คัดค้านเอกสารโดยเหตุที่ว่าไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน  หรือสำเนาไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ  ก็ถือว่าคู่ความฝ่ายที่ไม่ได้คัดค้านได้ยอมรับความถูกต้องในเอกสารนั้นแล้วตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  125

5       คำรับตามข้อตกลง  (คำท้า)  กล่าวคือ  เป็นการกระทำในศาลโดยยอมรับข้อเท็จจริงตามที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อน แต่เงื่อนไขนั้นจะต้องเป็นเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนการพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่ง  ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนการพิจารณานั้นสมความประสงค์ของคู่ความฝ่ายใดตามที่ท้ากันอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องยอมรับตามข้ออ้างของฝ่ายที่สมประสงค์นั้นทั้งหมด

ในคดีอาญา  ข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ถือว่าคู่ความรับกันแล้วในศาล

1       คำให้การรับสารภาพของจำเลย  กล่าวคือ  ปกติฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงในคดีอาญาจะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร  แต่อย่างไรก็ตาม  ก็มีบางกรณีที่ไม่ต้องนำสืบถึงข้อเท็จจริงนั้น  คำรับของจำเลยในชั้นพิจารณาของศาลก็เป็นกรณีหนึ่งที่ทำให้ศาลลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องมีการนำสืบข้อเท็จจริง  คำรับของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นไปตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  176  วรรคแรกที่ว่า  ในชั้นพิจารณาถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง  ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานต่อไปก็ได้

2       การแถลงยอมรับข้อเท็จจริงใดในระหว่างพิจารณาคดี  กล่าวคือ  ในระหว่างพิจารณาคดีโจทก์จำเลยในคดีอาญาอาจแถลงรับข้อเท็จจริงบางข้อบางประเด็นต่อศาล  ซึ่งเมื่อแถลงแล้วก็ย่อมฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำรับนั้น

(2) โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่  30  กันยายน  2548  กล่าวหาว่า  จำเลยตั้งโรงงานใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังกระแสไฟฟ้า  เมื่อวันที่  13  กันยายน  2547  จำเลยกระทำประมาทเลินเล่อโดยใช้เครื่องจักรเกินกำลัง  เป็นเหตุให้มอเตอร์ระเบิด  บ้านเรือนของโจทก์เสียหายครึ่งหลัง  ค่าเสียหายคิดเป็นเงิน  100,000  บาท  ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย  จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ได้ประมาทตามฟ้อง  อย่างไรก็ตาม  คดีของโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ฟ้องภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันเกิดเหตุ  ขอให้ยกฟ้อง

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  คดีนี้มีประเด็นใดบ้างที่คู่ความไม่ต้องสืบเพราะเป็นข้อเท็จจริง  ซึ่งศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ยอมรับแล้ว  และหากคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน  ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายชนะคดี

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

วินิจฉัย

ข้อเท็จจริงต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว

1       จำเลยตั้งโรงงานใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังกระแสไฟฟ้า

ประเด็นนี้  จำเลยไม่ได้ให้การรับหรือปฏิเสธ  จึงถือว่าจำเลยให้การรับแล้วว่าจำเลยใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังกระแสไฟฟ้า  โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบถึงข้อเท็จจริงในส่วนนี้

2       โจทก์เสียหายหรือไม่

ประเด็นนี้  จำเลยไม่ได้ให้การรับหรือปฏิเสธ  จึงถือว่าจำเลยให้การรับแล้วว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย  โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบถึงความเสียหายที่เกิดแก่บ้านของโจทก์ครึ่งหลัง

สำหรับประเด็นข้อพิพาท  มีดังนี้

1       จำเลยกระทำโดยประมาทหรือไม่

2       คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่  และ

3       โจทก์เสียหายเพียงใด

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคแรก  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้

ประเด็นข้อ  1  แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธแต่เพียงว่าไม่ได้ประมาทตามฟ้องโดยไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ  (ปฏิเสธลอย)  ซึ่งไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  แต่ก็ยังถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงตามฟ้อง  จึงีประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยังต้องมีหน้าที่นำสืบ  แต่จำเลยไม่มีประเด็นสืบแก้

ประเด็นข้อ  2 แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายกล่าวอ้างประเด็นข้อนี้ขึ้นมา  แต่การที่โจทก์ยื่นฟ้อง  ถือเป็นปริยายว่าโจทก์ได้ฟ้องคดีนั้นภายในกำหนดอายุความ  เมื่อจำเลยให้การต่อสู้เรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความ  จึงเป็นการปฏิเสธฟ้องของโจทก์  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบปรากฏว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ  (ฎ. 3042/2548  ฎ. 4610/2547)

ประเด็นข้อ  3  แม้จำเลยไม่ให้การปฏิเสธ  ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  438  วรรคแรก  แต่หากโจทก์ประสงค์จะได้ค่าเสียหายตามฟ้อง  โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องนำสืบ

จะเห็นว่าข้อพิพาททั้ง  3  ประเด็น  หน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์  โดยเฉพาะประเด็นข้อพิพาทข้อ  1  และข้อ  2  ถือว่าเป็นประเด็นข้อสำคัญแห่งคดี  เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน  โจทก์จึงเป็นฝ่ายแพ้คดี  และจำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดี

สรุป  มีประเด็นที่คู่ความไม่ต้องนำสืบเพราะเป็นข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแล้ว

1       จำเลยตั้งโรงงานใช้เครื่องจักรที่เดินด้วยกำลังกระแสไฟฟ้า

2       โจทก์เสียหายหรือไม่

และถ้าคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน  จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดี


ข้อ  2  จงอธิบายหลักเกณฑ์การยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญาว่ามีอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

หลักเกณฑ์การยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญา  อาจแยกออกได้เป็น  2  กรณีคือ

ก  คดีอาญาที่ศาลมิได้กำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน

กรณีนี้  ป.วิ.อ.  มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  จึงต้องนำบทบัญญัติแห่ง  ป.วิ.พ.  มาใช้บังคับตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  โดยต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  กล่าวคือ  ในคดีอาญาเรื่องใด  ถ้าศาลมิได้มีคำสั่งให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน  แต่ได้กำหนดให้นัดสืบพยานโจทก์ไปเลย  คู่ความทุกฝ่ายก็มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกต่อศาลก่อนวันสืบพยานโจทก์ไม่น้อยกว่า  7  วัน  และถ้าคู่ความฝ่ายใดยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกแล้วแต่ยังไม่ครบถ้วนมีความประสงค์จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมอีก  ก็ต้องยื่นแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมต่อศาลภายใน  15  วัน  นับแต่วันสืบพยาน

แต่ก็มีข้อสังเกตว่า  หลักเกณฑ์ดังกล่าวนั้นใช้บังคับสำหรับคดีแพ่งซึ่งคู่ความทุกฝ่ายอยู่ในฐานะเท่าเทียมกันเป็นสำคัญ  แต่ในคดีอาญาต้องใช้หลักให้โอกาสจำเลยต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่  ดังนั้นการอนุโลมนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาใช้ในคดีอาญาจึงค่อนข้างผ่อนปรนกับจำเลยค่อนข้างมาก  ดังนั้นถ้าหากพยานหลักฐานของจำเลยเป็นพยานสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี  แม้จำเลยจะไม่ยื่นบัญชีระบุพยาน  ศาลก็มักจะใช้ดุลพินิจตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  87(2)  ตอนท้าย  ประกอบ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  รับฟังพยานหลักฐานของจำเลยเสมอ

ข  คดีอาญาที่ศาลกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน

การยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญาที่ศาลมีคำสั่งกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน  ป.วิ.อ.  ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้วตามมาตรา 173/1  วรรคสองและวรรคสาม  จึงไม่อาจนำหลักเกณฑ์ในเรื่องการยื่นบัญชีระบุพยานตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  มาอนุโลมใช้บังคับได้  กล่าวคือ  ถ้าศาลมีคำสั่งกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐานแล้วคู่ความมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกต่อศาลก่อนวันตรวจพยานหลักฐานแล้ว  คู่ความมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกต่อศาลก่อนวันตรวจพยานหลักฐานไม่น้อยกว่า  7  วัน  พร้อมสำเนาในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นรับไปจากเจ้าพนักงานศาลเอง  โยคู่ความฝ่ายที่ยื่นบัญชีระบุพยานไม่มีหน้าที่ต้องเอาสำเนาบัญชีระบุพยานไปส่งให้แก่คู่ความฝ่ายอื่น

ถ้าคู่ความฝ่ายใดที่ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกแล้วแต่ยังไม่ครบถ้วนคู่ความฝ่ายนั้นก็มีสิทธิยื่นระบุพยานเพิ่มต่อศาลได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาล  แต่ต้องยื่นก่อนการตรวจพยานหลักฐานเสร็จสิ้น

หมายเหตุ  ปัจจุบัน  ป.วิ.อ. ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม  ทำให้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญาที่ศาลมิได้มีคำสั่งกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐานไว้โดยเฉพาะแล้ว  คือมาตรา  229/1  ซึ่งมีหลักต่างจากที่ได้อธิบายข้างต้นคือ  การยื่นบัญชีระบุพยานในการไต่สวนมูลฟ้องหรือการพิจารณาคดี  โจทก์ต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลไม่น้อยกว่า  15  วันก่อนวันไต่สวนมูลฟ้งหรือวันสืบพยาน  พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้จำเลยรับไป  ส่วนจำเลยให้ยื่นบัญชีระบุพยานพร้อมสำเนาก่อนวันสืบพยานจำเลย


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมเรียกค่าเสียหาย  ซึ่งเป็นเรื่องละเมิด  จำเลยให้การต่อสู้เรื่องสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน  โดยอ้างว่าโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อกัน  และโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา  โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย  ในชั้นพิจารณาคดีจำเลยมีภาระการพิสูจน์และศาลกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน  จำเลยอ้างสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นพยาน  ซึ่งจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า  จำเลยไม่ได้ซื้อที่ดินจำนวน  15  ไร่  ที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไว้เดิม  แต่ซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่งของโจทก์ที่อยู่ติดกันเนื้อที่ประมาณ  15  ไร่  เช่นเดียวกัน  และได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่ซื้อใหม่นี้เรียบร้อยแล้ว  โจทก์จึงขอสืบพยานบุคคลว่ามรการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวต่อกันจริง  แต่โจทก์ไม่ได้โอนที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลย  เพราะที่ดินดังกล่าวติดที่ราชพัสดุบางส่วน  จำเลยจึงขอย้ายแปลงไปเอาแปลงถัดไป  ดังนี้  การที่ศาลรับฟังพยานบุคคลของโจทก์ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้  มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา  (2)  แห่งมาตรา  93  และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า  พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด  หรือแต่บางส่วน  หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์  หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร  ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง  หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้  คือ

1       กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย  หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น

2       พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม

3       พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน

4       สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์

5       คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่ามีการทำสัญญาจะซื้อจะขายต่อกันจริง  แต่โจทก์ไม่ได้โอนที่ดินของโจทก์ให้แก่จำเลย  เพราะที่ดินดังกล่าวติดที่ราชพัสดุบางส่วน  จำเลยจึงขอย้ายแปลงไปเอแปลงถัดไปนั้น  กรณีถือเป็นการสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างว่าหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระงับไปแล้ว  เพราะโจทก์จำเลยได้ตกลงยกเลิกสัญญาดังกล่าว  และตกลงซื้อขายที่ดินแปลงอื่นต่อกันแทน  เอกสารดังกล่าวไม่อาจใช้บังคับได้อีกต่อไป  การที่ศาลรับฟังพยานบุคคลของโจทก์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว  กรณีไม่ใช่เป็นการสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแกไขเอกสารตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  แต่ประการใด  (ฎ. 8571/2547)

สรุป  การที่ศาลรับฟังพยานบุคคลของโจทก์ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว

Advertisement