การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3008 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายดำรงเป็นจำเลยในความผิดฐานบุกรุกอันเป็นความผิดต่อส่วนตัวและศาลกำหนดวันนัดสืบพยานพนักงานอัยการโจทก์แล้ว  ในระหว่างนั้นนายบุญมีซึ่งเป็นผู้เสียหายได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยคนเดียวกันนั้น  ตามข้อหาดังกล่าว  ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่นาย(ผู้เสียหาย)  เป็นโจทก์แล้ว  แต่นายบุญมี (ผู้เสียหาย)  ไม่ไปศาลตามกำหนดนัด  ศาลจึงพิพากษายกฟ้องนายบุญมี  (ผู้เสียหาย)  จึงยื่นคำร้องขอให้ยกคดีของตนขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่  และต่อมานายบุญมี  (ผู้เสียหาย)  ได้ถอนคำร้องนั้นแล้วยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องนายดำรง  ในวันเดียวกันนั้นนายดำรง  (จำเลย)  ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริง

ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  นายบุญมี  (ผู้เสียหาย)  จะร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้หรือไม่ และศาลควรพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีนี้อย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  166  ถ้าโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัด  ให้ศาลยกฟ้องเสีย  แต่ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรจึงมาไม่ได้  จะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้

ในคดีที่ศาลยกฟ้องดังกล่าวแล้ว  ถ้าโจทก์มาร้องภายในสิบห้าวัน  นับแต่วันศาลยกฟ้องนั้นโดยแสดงให้ศาลเห็นได้ว่ามีเหตุสมควรจึงมาไม่ได้ก็ให้ศาลยกคดีนั้นขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่

ในคดีที่ศาลยกฟ้องดังกล่าวแล้ว  จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้  แต่ถ้าศาลยกฟ้องเช่นนี้ในคดีซึ่งราษฎรเท่านั้นเป็นโจทก์  ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการฟ้องคดีนั้นอีก  เว้นแต่จะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในคดีความผิดต่อส่วนตัวเรื่องเดียวกัน  ทั้งผู้เสียหายและพนักงานอัยการต่างเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคนละคดี  ถ้าในคดีที่ผู้เสียหายฟ้อง  ศาลได้ยกฟ้องตามมาตรา  166  วรรคแรกแล้ว  พนักงานอัยการจะฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้  ศาลต้องยกฟ้องในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องด้วย

การที่ศาลยกฟ้องคดีที่นายบุญมี  (ผู้เสียหาย)  เป็นโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพราะเหตุไม่มาตามกำหนดนัดและนายบุญมี  (ผู้เสียหาย) โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีของตนขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่ตามมาตรา  166  วรรคสอง  แต่ต่อมาเมื่อนายบุญมี  (ผู้เสียหาย)  โจทก์ได้ถอนคำร้องดังกล่าวเสีย  จึงเท่ากับไม่มีการยื่นคำร้อง  นายบุญมี  (ผู้เสียหาย)  โจทก์จะเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการที่ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับความผิดฐานบุกรุกอีกไม่ได้  ตามมาตรา  166  วรรคสาม  และเมื่อกรณีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  สิทธิของพนักงานอัยการที่ฟ้องจำเลยไว้ก่อนศาลพิพากษายกฟ้องของนายบุญมี  (ผู้เสียหาย)  โจทก์ก็ระงับไปด้วย  ตามมาตรา  166  วรรคสาม (ฎ. 816/2523)

สรุป  ศาลควรมีคำสั่งยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของนายบุญมี  (ผู้เสียหาย)  และพิพากษายกฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์  โดยไม่จำต้องพิจารณาว่านายดำรง  (จำเลย)  กระทำผิดจริงหรือไม่

 

ข้อ  2  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในขณะจำเลยมีอายุ  18  ปี  ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  385  (ระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท)  ก่อนจะเริ่มพิจารณาซึ่งในขณะนั้นจำเลยมีอายุ  18  ปี  2  เดือน  ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่  จำเลยตอบว่าไม่มี  แต่จำเลยไม่ต้องการทนายความ  เพราะจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้  ศาลต้องตั้งทนายความให้จำเลยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  173  วรรคแรก ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต  หรือในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล  ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกิน  18  ปี  ในวันที่ถูกฟ้องต่อศาลก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้  ในกรณีนี้เป็นบทบังคับเด็ดขาด  ไม่ว่าจำเลยจะต้องการหรือไม่ก็ตาม  (เทียบ  ฎ. 366/2534)

พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย  ในขณะที่จำเลยมีอายุ  18  ปี  จึงเป็นคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกิน  18  ปี  ในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล  ซึ่งเป็นคดีอาญาทุกประเภท  แม้จะเป็นคดีที่มีโทษปรับอย่างเดียวก็ตาม  เมื่อได้ความว่า  ก่อนเริ่มพิจารณาศาลได้ถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่  แม้จำเลยจะตอบว่าไม่มี  แต่จำเลยก็ไม่ต้องการทนายความ  เพราะจำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้อง  ในกรณีเช่นนี้  ศาลก็ยังมีหน้าที่ตั้งทนายความให้กับจำเลย  ตามมาตรา  178  วรรคแรก  เพราะถือว่าเป็นบทบังคับเด็ดขาดที่ศาลต้องตั้งให้

สรุป  ศาลต้องตั้งทนายความให้จำเลย

 

ข้อ  3  คดีอาญาเรื่องหนึ่ง  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  291  (กำหนดระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี  และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท)  จำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบพยานว่าเหตุเกิดขึ้นมิใช่เนื่องจากความประมาทของจำเลย  แต่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายแย่งปืนไปจากเอวของจำเลย  จำเลยตกใจจึงกระชากปืนจากผู้ตาย  ปืนจึงลั่นถูกผู้ตาย

ในทางพิจารณา  ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยแย่งปืนคืนจากผู้ตาย  เมื่อจำเลยแย่งปืนคืนมาได้แล้วจำเลยได้ใช้ปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  288  (กำหนดระวางโทษประหารชีวิตจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี)

ดังนี้  ศาลพึงพิพากษาคดีนี้อย่างไรจึงจะชอบด้วยวิธีพิจารณา

ธงคำตอบ

มาตรา  192  วรรคสองและวรรคสาม  ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง  ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น  เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้  ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้

ในกรณีที่ข้อแตกต่างนั้นเป็นเพียงรายละเอียด  เช่น  เกี่ยวกับเวลาหรือสถานที่กระทำความผิดหรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดฐานลักทรัพย์  กรรโชก  รีดเอาทรัพย์  ฉ้อโกง  โกงเจ้าหนี้  ยักยอก  รับของโจร  และทำให้เสียทรัพย์  หรือต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาท  มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งนี้มิให้ถือว่าข้อที่พิจารณาได้ความนั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ  เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้  แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้

วินิจฉัย

พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ตาม  ป.อ.  มาตรา  291  ในทางพิจารณา  ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตาม  ป.อ.  มาตรา  288  กรณีเช่นนี้  ตามมาตรา  192  วรรคสาม  มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญเว้นแต่ปรากฏว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้  แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  จำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบพยานว่าเหตุเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายแย่งปืนไปจากเอวของจำเลย  จำเลยตกใจจึงกระชากปืนจากผู้ตาย  ปืนจึงลั่นถูกผู้ตาย  คำให้การต่อสู้คดีของจำเลยดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยมิได้หลงหยิบยกเอาข้อที่ฟ้องผิดหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องมาเป็นสาระสำคัญในการต่อสู้คดีของจำเลย  จำเลยจึงมิได้หลงต่อสู้

เมื่อปรากฏว่าข้อแตกต่างระหว่างข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณากับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องเป็นข้อแตกต่างมิใช่ในข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้  กรณีเช่นนี้ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาก็ได้  โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ  แต่ทั้งนี้  ศาลจะลงโทษจำเลยเกินอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดที่โจทก์ฟ้องไม่ได้

ดังนั้น  คดีนี้ศาลพึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตาม  ป.อ.  มาตรา  288  แต่ทั้งนี้ศาลจะลงโทษจำเลยได้เพียงจำคุกไม่เกิน  10  ปี  และปรับไม่เกิน  2  หมื่นบาท  ตาม  ป.อ.  มาตรา  291

สรุป  ศาลพึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตาม  ป.อ.  มาตรา  288  แต่ศาลจะลงโทษจำเลยได้เพียงจำคุกไม่เกิน  10  ปี  และปรับไม่เกิน  2  หมื่นบาทตาม  ป.อ.  มาตรา  291

 

ข้อ  4  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา  จำเลยให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  276  ลงโทษจำคุก  9  ปี  จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษสถานเบา

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า  จำเลยกระทำผิดจริง  แต่คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา  มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  78  ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามพิพากษาแก่เป็นว่า  จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  276  ลงโทษจำคุก  6  ปี

ดังนี้  จำเลยจะฎีกาว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  15  วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  249  วรรคแรก  ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างในการยื่นฎีกานั้น  คู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา  และต้องเป็นข้อที่ได้ยกว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น  ศาลอุทธรณ์

วินิจฉัย

การฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง  ข้อเท็จจริงนั้นต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เคยยกขึ้นต่อสู้มาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ด้วย  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  249  ประกอบ  มาตรา  15

การที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรา  จำเลยได้ให้การปฏิเสธก็เท่ากับว่าจำเลยยกข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นแล้วแต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  จำเลยมีความผิดตาม  ป.อ.  มาตรา  276  ลงโทษจำคุก  9  ปี  จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด  จำเลยเพียงแต่อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษสถานเบา  ปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่  จึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว  เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา  จำเลยจะกลับมาฎีกาว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องอีกไม่ได้  เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู่ในชั้นศาลอุทธรณ์  จึงต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  249  ประกอบมาตรา  15  (เทียบ  ฎ. 2451/2527)

สรุป  จำเลยจึงฎีกาว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องไม่ได้

Advertisement