การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3008 (LA 308),(LW 309) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 2

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่านายเหลืองกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  358  ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้  ในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีนางชมพูซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ไปปรึกษาทนายความ  ทนายความมีความเห็นว่าการกระทำของนายเหลืองเป็นการลักทรัพย์  นางชมพูจึงแต่งตั้งทนายความฟ้องนายเหลืองในความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา  334  ศาลตรวจคำฟ้องของนางชมพูแล้วเห็นว่าถูกต้องตามกฎหมาย  ศาลจึงสั่งไต่สวนมูลฟ้อง  ปรากฏว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ในการไต่สวนมูลฟ้องนั้น  นางชมพูและทนายความของนางชมพูไม่ไปศาล  ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง  ดังนี้

(ก)  ถ้านางชมพูประสงค์จะขอให้ศาลยกคดีนั้นขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่นางชมพูต้องดำเนินการอย่างไร

(ข)  สำหรับคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่านายเหลืองกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์นั้น  พนักงานอัยการจะดำเนินคดีต่อไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  166  ถ้าโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัด  ให้ศาลยกฟ้องเสีย  แต่ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรจึงมาไม่ได้  จะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้

ในคดีที่ศาลยกฟ้องดังกล่าวแล้ว  ถ้าโจทก์มาร้องภายในสิบห้าวัน  นับแต่วันศาลยกฟ้องนั้นโดยแสดงให้ศาลเห็นได้ว่ามีเหตุสมควรจึงมาไม่ได้ก็ให้ศาลยกคดีนั้นขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่

ในคดีที่ศาลยกฟ้องดังกล่าวแล้ว  จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ได้  แต่ถ้าศาลยกฟ้องเช่นนี้ในคดีซึ่งราษฎรเท่านั้นเป็นโจทก์  ไม่ตัดอำนาจพนักงานอัยการฟ้องคดีนั้นอีก  เว้นแต่จะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว

วินิจฉัย

(ก)  นางชมพูเป็นโจทก์ฟ้องนายเหลืองในความผิดฐานลักทรัพย์แต่ในวันสืบพยานโจทก์  ในการไต่สวนมูลฟ้องนางชมพูและทนายความของนางขาวไม่ไปศาล  ศาลจึงพิพากษายกฟ้องในกรณีเช่นนี้  หากนางชมพูต้องการให้ศาลยกคดีขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่  นางชมพูอาจกระทำโดย

1       ยื่นคำร้องต่อศาลภายใน  15  วัน  นับแต่วันที่ศาลยกฟ้อง  และ

2       แสดงให้ศาลเห็นว่าตนและทนายความของตนมีเหตุสมควรที่ไม่สามารถมาศาลได้  ตามกำหนดนัดไต่สวนมูลฟ้อง

เมื่อนางชมพูปฏิบัติครบหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว  ถ้าศาลเห็นว่าการที่นางชมพูและทนายความขาดนัดไต่สวนมูลฟ้อง  เนื่องจากมีเหตุสมควร  ศาลก็จะยกคดีขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่  ตามมาตรา  165  วรรคสอง

(ข)  โดยหลักแล้ว  คดีที่ศาลยกฟ้อง  เนื่องจากโจทก์ขาดนัดไต่สวนมูลฟ้องนั้น  ตามมาตรา  165  วรรคสาม  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดี่ยวกันอีกไม่ได้  ซึ่งหมายความว่า  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับนั่นเอง  (ฎ. 816/2523)  แต่มีข้อยกเว้นว่าสิทธิฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการยังไม่ระงับ  ถ้าคดีที่ศาลยกฟ้อง  เนื่องจากโจทก์ขาดนัดไต่สวนมูลฟ้องนั้นเป็นคดีซึ่งราษฎรเท่านั้นเป็นโจทก์  และคดีที่พนักงานอัยการจะฟ้องอีกหรือได้ฟ้องไว้แล้วนั้น  มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว  (ความผิดอันยอมความได้)

สำหรับคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์  พนักงานอัยการจะดำเนินคดีต่อไปได้หรือไม่  เห็นว่า  คดีที่พนักงานอัยการได้ฟ้องไว้แล้วนั้น  เป็นคดีที่ฟ้องในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้  เมื่อได้ความว่าศาลยกฟ้อง  เนื่องจากโจทก์ขาดนัดไต่สวนมูลฟ้อง  จึงส่งผลให้จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันอีกไม่ได้  ซึ่งหมายความถึง  สิทธินำคดีอาญาของพนักงานอัยการมาฟ้องย่อมระงับตามไปด้วย  อีกทั้งในกรณีนี้ก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้น  ตามมาตรา  166  วรรคสาม  เนื่องจากเป็นความผิดต่อส่วนตัว  ดังนั้นพนักงานอัยการจึงไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้

สรุป 

(ก)  หากนางชมพูต้องการให้ศาลยกคดีขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่  นางชมพูสามารถทำได้ตามหลักเกณฑ์ที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น

(ข)  สำหรับคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์  พนักงานอัยการไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้

 

ข้อ  2  คดีอาญาเรื่องหนึ่ง  ผู้เสียหายได้ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย  ในวันนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์  อัยการโจทก์ขาดนัดคงมาแต่โจทก์ร่วม  โดยโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ  หากศาลดำเนินกระบวนการพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งในกรณี  ดังนี้

(ก)  ศาลยกฟ้องโจทก์  เพราะเหตุโจทก์ขาดนัด  หรือ

(ข)  ศาลยกฟ้องโจทก์  เพราะเหตุโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย  ดังนี้

ขอให้วินิจฉัยว่า  การที่ศาลยกฟ้องโจทก์ทั้ง  2  กรณีดังกล่าวชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายวิธีพิจารณาความหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  166  ถ้าโจทก์ไม่มาตามกำหนดนัด  ให้ศาลยกฟ้องเสีย  แต่ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรจึงมาไม่ได้  จะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้

มาตรา  185  วรรคแรก  ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี  การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดก็ดี  คดีขาดอายุความแล้วก็ดี  มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษก็ดี  ให้ศาลยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป  แต่ศาลจะสั่งขังจำเลยไว้หรือปล่อยชั่วคราวระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดก็ได้

วินิจฉัย

(ก)  การที่ศาลยกฟ้องโจทก์  เพราะเหตุที่โจทก์ขาดนัดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  คดีนี้ผู้เสียหายได้เป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ  แม้ในวันนัดสืบพยานโจทก์  พนักงานอัยการโจทก์จะขาดนัดไม่มาศาลก็ตาม  แต่เมื่อได้ความว่า  โจทก์ร่วมมาศาลในวันนัดแล้ว  จึงเท่ากับว่ายังมีโจทก์มาศาลกรณีเช่นนี้  ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ขาดนัด  ตามมาตรา  166  วรรคแรก  แต่อย่างใด  ดังนั้นการที่ศาลยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุขาดนัดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าว (ฎ. 1519/2497)

(ข)  การที่ศาลยกฟ้องโจทก์  เพราะเหตุที่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  คดีนี้ศาลนัดสืบพยานโจทก์  แม้ได้ความว่า  ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ร่วมจะมาศาลตามนัดก็ตาม  แต่เมื่อได้ความว่า  ในวันสืบพยานโจทก์  โจทก์ไม่มีพยานมาสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย  เช่นนี้  การที่ศาลยกฟ้องโจทก์โดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย  จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  185  วรรคแรกแล้ว  (ฎ. 1382/2492)

สรุป 

(ก)  การที่ศาลยกฟ้องโจทก์  เพราะเหตุขาดนัดไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข)  การที่ศาลยกฟ้องโจทก์  เพราะเหตุที่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  คดีอาญาเรื่องหนึ่ง  พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่านายพิชิตกับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันทำร้ายร่างกาย  นายสมบัติจนได้รับอันตรายสาหัส  เหตุเกิดเมื่อวันที่  15  มกราคม  พ.ศ. 2547  เวลากลางคืนก่อนเที่ยง  ที่แขวงคลองจั่น  เขตบางกะปิ  กรุงเทพมหานคร  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  297  (ฟ้องสมบูรณ์ตามกฎหมาย)  นายพิชิตจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง  ศาลสั่งให้โจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลย

ในการพิจารณาคดีได้ความว่า  ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุที่โจทก์อ้างในฟ้อง  นายพิชิตจำเลยกับพวกมิได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายนายสมบัติ  แต่ได้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป  และปรากฏว่าในการชุลมุนต่อสู้นั้น  นายสมบัติซึ่งมิได้ร่วมชุลมุนต่อสู้ด้วยได้รับอันตรายสาหัสอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  299

เช่นนี้  ศาลพึงพิพากษาหรือสั่งอย่างไร  จึงจะชอบด้วยวิธีพิจารณาความอาญา

ธงคำตอบ

มาตรา  192  วรรคสอง ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง  ให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น  เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้  ศาลจะลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นก็ได้

วินิจฉัย

ตามมาตรา  192  วรรคสอง  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ถ้าศาลเห็นว่า  ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง  โดยหลักให้ศาลยกฟ้องคดีนั้น  เว้นแต่ข้อแตกต่างนั้นมิใช่ในข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ในกรณีเช่นนี้  ศาลจะลงโทษจำเลย  ตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความนั้นก็ได้

ศาลพึงพิพากษาหรือสั่งอย่างไร  เห็นว่า  พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่านายพิชิตกับพวกที่ยังหลบหนีร่วมกันกระทำความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายรับอันตรายสาหัสตาม  ป.อ.  มาตรา  297  แต่ในการพิจารณาคดีได้ความว่า  นายพิชิตกับพวกกระทำความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป  เป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดรับอันตรายสาหัส  ตาม  ป.อ.  มาตรา  299

ความผิดสองฐานดังกล่าวนี้  เมื่อนำองค์ประกอบความผิดมาพิจารณาเทียบกัน  จะเห็นได้ว่าแตกต่างกันมาก  ไม่อาจเกลื่อนกลืนกันได้เลย ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในการพิจารณาและข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ  กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้น  ตามมาตรา  192  วรรคสอง  ถึงแม้นายพิชิตจำเลยให้การรับสารภาพาลก็ต้องยกฟ้อง  จะลงโทษตามมาตรา  299  ก็ไม่ได้  เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษ  (ฎ. 2299/2518  ฎ. 1923/2521  ฎ. 48/2528)

สรุป  ศาลพึงพิพากษายกฟ้อง

 

ข้อ  4  นายช้างเป็นโจทก์ฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายเสือฐานทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส  (ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี)  ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีไม่มีมูล  ยกฟ้อง  นายช้างอุทธรณ์ 

ให้นักศึกษาตอบคำถามแต่ละกรณีดังต่อไปนี้

(ก)  ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วสั่งว่า  คดีมีมูล  ประทับฟ้อง  กรณีนี้นายเสือจะฎีกาว่าคดีไม่มีมูลได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว  พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  กรณีนี้นายช้างจะฎีกาว่าคดีมีมูลได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

 ธงคำตอบ

มาตรา  170  วรรคแรก  คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด  แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้นโจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา

มาตรา  220  ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์

วินิจฉัย

(ก)  เมื่อนายช้างยื่นอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิจารราแล้วสั่งว่าคดีมีมูลประทับฟ้อง  ในกรณีนี้  แม้ได้ความว่านายเสือผู้ถูกฟ้องจะมีฐานะเป็นจำเลยแล้วก็ตาม  แต่คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งว่าคดีมีมูลนั้นเด็ดขาดแล้ว  นายเสือจึงฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ได้  ตามมาตรา  170  วรรคแรก            (ฎ. 1895/2519)

(ข)  โดยหลักแล้ว  ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์  ทั้งนี้  ไม่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายก็ต้องห้ามฎีกาทั้งสิ้น  และเป็นการห้ามฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายด้วย  (ฎ. 492/2536  ฎ. 5381/2536)

การที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว  เห็นว่า  คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน  จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์  ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย  แม้จะเป็นการพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม  คดีก็ต้องห้ามมิให้ฎีกา  ดังนั้น  เมื่อนายช้างฎีกาว่า  คดีมีมูลอันถือว่าเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง  ในกรณีนี้นายช้างจึงไม่สามารถฎีกาว่าคดีมีมูลได้ต้องห้าม  ตามมาตรา  220 (ฎ.3534/2541)

สรุป

(ก)  นายเสือฎีกาว่าคดีไม่มีมูลไม่ได้

(ข)  นายช้างฎีกาว่าคดีมีมูลไม่ได้

Advertisement