การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นางชนิกามีบุตร  1  คน  ชื่อนายประกอบ อายุ  22  ปี  นางชนิกายังได้จดทะเบียนรับนางสาวสุพรอายุ  16  ปี  เป็นบุตรบุญธรรมอีกคนหนึ่ง  นางสาวสุพรถูกนายวิชัยขับรถยนต์โดยประมาทชนถึงแก่ความตาย  นางชนิกายื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายวิชัยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นางสาวสุพรถึงแก่ความตาย  ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูล  ประทับฟ้องคดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ปรากฏว่านางชนิกาป่วยถึงแก่ความตายไปเสียก่อน

นายประกอบเป็นทายาทที่มีเพียงคนเดียวและได้รับมรดกทั้งหมดของนางชนิกาได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอรับมรดกความอาญาเข้ามาดำเนินคดีนายวิชัยแทนนางชนิกาต่อไป ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคำร้องของนายประกอบว่าอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

มาตรา  28  บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย

มาตรา  29  เมื่อผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง  ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาจะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปก็ได้

ถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้เยาว์  ผู้วิกลจริต  หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรมผู้อนุบาลหรือผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้วผู้ฟ้องแทนนั้นจะว่าคดีต่อไปก็ได้

วินิจฉัย

การที่นางสาวสุพรอายุ  16  ปี  ถูกนายวิชัยขับรถยนต์โดยประมาทถึงแก่ความตายกรณีนี้ถือว่านางสาวสุพรเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  อันถือว่านางสาวสุพรเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงและเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง  ตามมาตรา  2(4)

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า  นางสาวสุพรผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมของนางชนิกา  กรณีย่อมถือว่านางชนิกาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจจัดการแทนนางสาวสุพรผู้เยาว์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในความผิดที่กระทำต่อนางสาวสุพรได้ด้วยการฟ้องคดีโดยอาศัยมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(1)  และมาตรา  28  มิใช่การฟ้องคดีตามมาตรา  5(2)  เพราะนางชนิกาและนางสาวสุพรไม่ได้เป็นผู้บุพกรรีและผู้สืบสันดานซึ่งกันและกัน  เนื่องจากผู้บุพการีและผู้สืบสันดานนั้นต้องถือตามความเป็นจริง (ฎ. 1384/2516 (ประชุมใหญ่))

อนึ่งเมื่อนางชนิกาซึ่งเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา  5(1)  ได้ฟ้องคดีแล้วตายลง  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในกรณีนี้จึงมีว่า  นายประกอบอายุ  22  ปี  ซึ่งเป็นทายาทเพียงคนเดียวและได้รับมรดกทั้งหมดของนางชนิกาจะยื่นคำร้องขอเข้ารับมรดกความทางอาญาเพื่อดำเนินคดีกับนายวิชัยแทนนางชนิกาต่อไปได้หรือไม่  เห็นว่าการรับมรดกตามมาตรา  29  วรรคแรกนั้น  จะต้องเป็นกรณีที่ผู้เสียหายที่แท้จริงยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้วตายลงเท่านั้นที่ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาของผู้นั้นจึงจะเข้ามารับมรดกความทางอาญาได้  (ฎ. 1187/2543,  ฎ.  2231/2521)  เมื่อนางชนิกาผู้ตายยื่นฟ้องต่อศาลในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม  เป็นเพียงผู้มีอำนาจจัดการแทนนางสาวสุพรผู้เยาว์  ตามมาตรา  5(1)  เท่านั้น    มิใช่ผู้เสียหายที่แท้จริงแต่ประการใด  ดังนั้นนายประกอบแม้จะเป็นผู้สืบสันดานตามความเป็นจริงของนางชนิกาและบรรลุนิติภาวะแล้วก็ตาม  ก็ไม่อาจเข้ารับมรดกความทางอาญาต่อจากนางชนิกาได้  กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  29  ศาลต้องมีคำสั่งยกคำร้องของนายประกอบ

สรุป  ศาลต้องมีคำสั่งยกคำร้องของนายประกอบ

 

ข้อ  2  นายนิมิตขับรถยนต์มาด้วยความประมาทชนรถยนต์ของนายสรพงษ์เป็นเหตุให้นายสรพงษ์ถึงแก่ความตาย  นางธิดารัตน์ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสรพงษ์จึงเป็นโจทก์ฟ้องนายนิมิตในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสรพงษ์ถึงแก่ความตาย  ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา

ต่อมานางธิดารัตน์ประสบเหตุขาหัก  นายชุมพลซึ่งเป็นบิดาของนายสรพงษ์เกรงว่านางธิดารัตน์จะไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้  จึงยื่นฟ้องนายนิมิตในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสรพงษ์ถึงแก่ความตายเช่นกัน

ดังนี้  นายชุมพลจะดำเนินคดีแก่นายนิมิตต่อไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

มาตรา  15  วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้

มาตรา  28  บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  173  วรรคสอง  นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว  คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา  และผลแห่งการนี้

(1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน  หรือต่อศาลอื่น…

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายชุมพลจะดำเนินคดีแก่นายนิมิตต่อไปได้หรือไม่  เห็นว่านายสรพงษ์ถูกนายนิมิตขับรถยนต์มาด้วยความประมาทชนรถยนต์ของนายสรพงษ์เป็นเหตุให้นายสรพงษ์ถึงแก่ความตาย  กรณีถือว่านายสรพงษ์เป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  อันถือว่านายสรพงษ์เป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงและเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง  ตามมาตรา  2(4) 

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า  นางธิดารัตน์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสรพงษ์  กรณีย่อมถือว่านางธิดารัตน์เป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายซึ่งถูกทำร้ายถึงแก่ความตายด้วยการฟ้องคดี  ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(2)  และมาตรา  28  เมื่อนางธิดารัตน์ยื่นฟ้องนายนิมิตต่อศาลในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  ศาลไต่สวนมูลฟ้องและประทับฟ้องไว้แล้ว  กรณีเช่นนี้ย่อมถือว่าคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาและมีผลทำให้ผู้มีอำนาจจัดการแทนนายสรพงษ์คนอื่นจะมาฟ้องนายนิมิตจำเลยในความผิดเดียวกันนี้อีกไม่ได้

ดังนั้นการที่นายชุมพลซึ่งเป็นบิดาของนายสรพงษ์เกรงว่านางธิดารัตน์จะไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้  เนื่องจากนางธิดารัตน์ประสบอุบัติเหตุ  นายชุมพลจึงได้ยื่นฟ้องนายนิมิตในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  ซึ่งเป็นความผิดฐานเดียวกันกับที่นางธิดารัตน์ได้ยื่นฟ้องไปแล้ว  จึงเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีเดิมซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณา  และคดีเดิมกับคดีหลังเป็นเรื่องเดียวกัน (ประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย)  อันเป็นการฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  173  วรรคสอง  (1)  ประกอบมาตรา  15  ดังนี้  นายชุมพลจึงไม่อาจดำเนินคดีแก่นายนิมิตต่อไปได้

สรุป  นายชุมพลจึงดำเนินคดีแก่นายนิมิตต่อไปไม่ได้

 

ข้อ  3  ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์  นายพรเทพผู้เสียหายยื่นคำร้องขอต่อศาลขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  ศาลอนุญาต

ในระหว่างการสืบพยานโจทก์  นายพรเทพยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนคำร้องที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  โดยระบุเหตุผลว่ามีความคิดเห็นหลายอย่างไม่ตรงกับพนักงานอัยการ  หากดำเนินคดีร่วมกันต่อไปเกรงว่าจะเกิดความเสียหายแก่คดี  ศาลอนุญาต

ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีเพียง  1  วัน  นายพรเทพยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการอีกครั้งหนึ่ง  โดยระบุเหตุผลว่าเพื่อต้องการใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาต่อไปในกรณีที่พนักงานอัยการไม่อุทธรณ์ฎีกา

ดังนี้  ศาลจะอนุญาตให้นายพระเทพเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการอีกได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  30  คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา  36  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนำมาฟ้องอีกหาได้ไม่…

มาตรา  39  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปดังต่อไปนี้

(2) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว  เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์  ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย

วินิจฉัย

ศาลจะอนุญาตให้นายพรเทพเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการอีกได้หรือไม่  เห็นว่า  นายพรเทพเป็นผู้เสียหาย  ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาตามมาตรา  30  แต่เมื่อนายพรเทพได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการด้วยเหตุผลว่ามีความคิดเห็นไม่ตรงกับพนักงานอัยการ  หากดำเนินคดีร่วมกันต่อไป  อาจจะเกิดความเสียหายแก่คดี  การขอถอนคำร้องที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการของนายพรเทพผู้เสียหายเช่นนี้  เมื่อศาลอนุญาต  จึงมีผลเท่ากับเป็นการที่นายพรเทพผู้เสียหายถอนฟ้อง  (คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่  892/2514)  แต่เนื่องจากคดีนี้เป็นความผิดฐานลักทรัพย์  เป้นความผิดอาญาแผ่นดินคดีอาญายังไม่ระงับ  ไม่ต้องด้วยมาตรา  39(2)  พนักงานอัยการยังดำเนินคดีต่อไปได้

เมื่อนายพรเทพถอนฟ้องแล้ว  ย่อมเกิดผลทางกฎหมาย  ตามมาตรา  36  คือ  นายพรเทพผู้เสียหายจะนำคดีมาฟ้องใหม่ไม่ได้  เมื่อได้ความว่าฟ้องไม่ได้  การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน  แม้จะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ  ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาก็ตาม

สรุป  ศาลจึงอนุญาตให้นายพรเทพผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการอีกไม่ได้

 

ข้อ  4  เมื่อวันที่  1  กรกฎาคม  2551  นายสังคม  อายุ  17  ปี  11  เดือน  ต่อยหน้านายทวี  อายุ  22  ปี  ทำให้นายทวีได้รับอันตรายสาหัส  วันรุ่งขึ้นนางป่านภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายทวีเข้าร้องทุกข์ต่อ  ร.ต.อ. วินัย  พนักงานสอบสวน  ต่อมา  ร.ต.อ. วินัย  ดำเนินการขอหมายจับนายสังคมจากศาล  ศาลออกหมายจับให้แก่  ร.ต.อ. วินัย  เมื่อวันที่  1  กันยายน  2551  ร.ต.อ. วินัย  นำหมายจับไปจับนายสังคมเมื่อวันที่  2  กันยายน  2551  (ในชั้นจับกุมและชั้นรับมอบตัวผู้ถูกจับ  ร.ต.อ. วินัยได้ปฏิบัติตามมาตรา  83  และมาตรา  84  ครบถ้วนทุกประการ)  และเริ่มทำการสอบสวนสังคมในวันที่จับนายสังคมได้ตามหมายจับ  ก่อนเริ่มถามคำให้การ  ร.ต.อ. วินัย  ถามนายสังคมในวันที่จับนายสังคมได้ตามหมายจับ  ก่อนเริ่มถามคำให้การ  ร.ต.อ. วินัย  ถามนายสังคมว่ามีทนายความหรือไม่  นายสังคมตอบว่าไม่มีแต่ไม่ต้องการทนายความเพราะสำนึกผิดในการกระทำ  ร.ต.อ. วินัย  จึงแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัสและแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตา  134/4  วรรคหนึ่ง  ให้ทราบก่อนถามคำให้การหลังจากที่นายสังคมได้ฟังการแจ้งสิทธิดังกล่าว  นายสังคมก็ยังยืนยันต่อ  ร.ต.อ. วินัยว่าไม่ต้องการทนายความ  ร.ต.อ. วินัยจึงถามคำให้การนายสังคมโดยไม่มีทนายความและนายสังคมยอมให้การโดยเต็มใจ  ร.ต.อ.  วินัยจึงจดคำให้การไว้

ดังนี้  ถ้อยคำที่นายสังคมให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ. วินัยสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายสังคมได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

หมายเหตุ  ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  297  ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี  อันตรายสาหัสคือ…   

ธงคำตอบ

มาตรา  134/1  วรรคแรกและวรรคสอง  ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต  หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา  ก่อนเริ่มถามคำให้การพนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้

ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ  ให้รัฐจัดหาทนายความให้

มาตรา  134/2  ให้นำบทบัญญัติในมาตรา  133  ทวิ  มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี

มาตรา  134/3  ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

มาตรา  134/4  ในการถามคำให้การผู้ต้องหา  ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การ  ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

เมื่อผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใดก็ให้จดคำให้การไว้  ถ้าผู้ต้องหาไม่เต็มใจให้การเลยก็ให้บันทึกไว้

ถ้อยคำใดๆ  ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง  หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา  134/1  มาตรา  134/2  และมาตรา  134/3  จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต  หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน  18  ปี  ในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา  (ไม่คำนึงว่าในขณะกระทำความผิดจะมีอายุเท่าใดก็ตาม)  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้  กรณีนี้เป็นบทบังคับเด็ดขาดหากผู้ต้องหาไม่มีทนายความและแม้จะไม่ต้องการก็ต้องจัดหาทนายความให้เสมอ  (มาตา  134/1  วรรคแรก)

ในส่วนคดีที่มีอัตราโทษจำคุก  (ไม่ใช่คดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตหรือคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน  18  ปี)  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ  ให้รัฐจัดหาทนายความให้  แต่ถ้าหากผู้ต้องหาไม่ต้องการ  ก็ไม่จำต้องจัดหาให้แต่ประการใด  (มาตรา  134/1  วรรคสอง)

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ถ้อยคำที่นายสังคมให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ. วินัยสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายสังคมได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้ในขณะที่นายสังคมทำร้ายร่างกายนายทวีได้รับอันตรายสาหัส  นายสังคมจะมีอายุ  17  ปี  11  เดือนก็ตาม  แต่เมื่อในวันที่  ร.ต.อ. วินัยพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่นายสังคม  นายสังคมมีอายุเกิน  18  ปีแล้ว  ดังนี้  ก่อนเริ่มถามคำให้การ  ร.ต.อ. วินัยจึงมีหน้าที่ต้องถามนายสังคมว่า  มีทนายความหรือไม่  หากไม่มีและนายสังคมต้องการทนายความจึงจะจัดหาทนายความให้  ตามมาตรา 134/1  วรรคสอง  (กรณีมิใช่มาตรา  134/1  วรรคแรก  เพราะนายสังคมมีอายุเกิน  18  ปีแล้ว  ในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาและไม่ใช่กรณีมาตรา  134/2  เนื่องจากนายสังคมมีอายุเกิน  18  ปีในวันทำการสอบสวน)  นอกจากนี้  ร.ต.อ. วินัยยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา  134/3  และมาตรา  134/4  ซึ่งตามข้อเท็จจริงดังกล่าวรับฟังได้ว่า  ร.ต.อ.  ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวครบถ้วนทุกประการ  เมื่อนายสังคมให้การด้วยความเต็มใจและ  ร.ต.อ. วินัย  ได้จดคำให้การไว้  ถ้อยคำที่นายสังคมให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ. วินัยจึงสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายสังคมได้

สรุป  ถ้อยคำที่นายสังคมให้ไว้ต่อ  ร.ต.อ. วินัย  จะสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายสังคมได้ 

Advertisement