การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายหนึ่งขับรถยนต์โดยประมาทชนนายสองถึงแก่ความตาย  เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้วพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายหนึ่งฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี  นางสมรภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการศาลอนุญาต

ระหว่างการสืบพยานโจทก์  นางสมรยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนคำร้องที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการระบุเหตุผลว่ามีความคิดเห็นหลายเรื่องไม่ตรงกันกับพนักงานอัยการ  หากดำเนินการร่วมกันต่อไปเกรงว่าจะ

เป็นผลเสียแก่คดี  ศาลอนุญาต  ในวันเดียวกันนั้นนายสักบิดาตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายสองทราบเรื่อง  จึงยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการแทนนางสมรทันที ดังนี้  ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคำร้องของนายสักว่าอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5  และ  6

มาตรา  5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

มาตรา  30  คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว  ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้

มาตรา  36  วรรคแรก  คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนำมาอีกหาได้ไม่ …

วินิจฉัย

ในกรณีที่ผู้เสียหายคนเดียวมีผู้จัดการแทน  ตามมาตรา  5  หลายคน  ผู้จัดการแทนผู้เสียหายบางคนได้ฟ้องแล้วถอนฟ้องไป  ผู้จัดการแทนผู้เสียหายคนอื่นจะมาฟ้องจำเลยอีกไม่ได้

เมื่อได้ความว่านายสองได้ถูกนายหนึ่งขับรถยนต์โดยประมาทชนถึงแก่ความตายนั้น  ถือว่านายสองเป็นผู้เสียหายโดยตรง  จากการที่นายหนึ่งได้ขับรถยนต์โดยประมาท  ตามมาตรา  2(4)  และเมื่อนายสองได้ถึงแก่ความตาย  เห็นว่า  นางสมรภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองและนายสักบิดาตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายสองต่างก็เป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนนายสองได้  ตามมาตรา 5(2)  แต่เมื่อได้ความว่านางสมรได้ใช้สิทธิจัดการแทนนายสองไปแล้วด้วยการยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องในการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการดังกล่าว  

ซึ่งผลของการถอนคำร้องนั้นมีผลเท่ากับเป็นการถอนฟ้อง  (ฎ. 892/2514)  เมื่อศาลอนุญาตย่อมเกิดผลในทางกฎหมายทำให้ไม่สามารถนำคดีมาฟ้องใหม่ได้อีก  ตามมาตรา  36  ผลในทางกฎหมายที่เกิดขึ้นมีผลถึงนายสักบิดานายสองด้วย  เมื่อได้ความว่านายสักไม่สามารถฟ้องคดีได้  ก็ทำให้ไม่สามารถขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานด้วยเช่นเดียวกัน  (ฎ. 1790/2492)

สรุป  ศาลต้องสั่งยกคำร้องนายสัก

 

ข้อ  2  นายเย็นเป็นโจทก์ฟ้องนายร้อนเป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกาย  จากการที่นายร้อนใช้ขวดเบียร์ตีทำร้ายนายเย็นขณะนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน  นายร้อนรับสารภาพ  ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกนายร้อน  1  เดือน  นายร้อนอุทธรณ์ขอให้ศาลรอการลงโทษ ต่อมานายเย็นได้ฟ้องนายร้อนให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นคดีแพ่งอีกคดีหนึ่ง  แต่ก่อนการพิจารณาในคดีแพ่ง  นายร้อนตายในระหว่างอุทธรณ์ในคดีอาญา  ดังกล่าว  และนายอุ่นผู้จัดการมรดกของนายร้อนเข้ามารับมรดกความในคดีแพ่ง  นายเย็นจึงอ้างคำพิพากษาในคดีอาญาเพื่อให้ศาลในคดีแพ่งบังคับเอากับกองมรดกของนายร้อน  ดังนี้  ศาลในคดีแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  39  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป

(1) โดยความตายของผู้กระทำความผิด

มาตรา  46  ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง  ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

วินิจฉัย

คำพิพากษาคดีอาญาที่จะมีผลผูกพันให้คดีส่วนแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามนั้นต้องเป็นคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วเท่านั้น

ศาลในคดีแพ่งจะถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายร้อนได้ถึงแก่ความตายในระหว่างอุทธรณ์  ย่อมมีผลทำให้คดีอาญาระงับไป  ตามมาตรา  39(1)  เมื่อได้ความว่า  คดีอาญาได้ระงับไปก่อนคดีถึงที่สุด  ย่อมส่งผลให้คำพิพากษาคดีอาญาของศาลล่างนั้นระงับไป  ไม่มีผลบังคับแก่คู่ความอีกต่อไป  ศาลในคดีแพ่งจะนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาซึ่งยังไม่ถึงที่สุดมารับฟังในคดีแพ่งไม่ได้  ในกรีดังกล่าวไม่ต้องด้วย  มาตรา  46  แต่อย่างใด  ศาลจึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่ 

(ฎ. 1104  1105/2501 ,  623/2529)

สรุป  ศาลต้องพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีแพ่งใหม่  ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

 

ข้อ  3  ในคดีอาญาฐานลักทรัพย์เรื่องหนึ่ง  เมื่อทางตำรวจจับตัวผู้ต้องหาได้แล้ว  นำส่งพนักงานสอบสวน  ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะถามคำให้การของผู้ต้องหา  ได้แจ้งให้ผู้ต้องหาทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้โดยไม่ได้แจ้งอย่างอื่นใดอีก  ซึ่งผู้ต้องหารับทราบและผู้ต้องหาขอให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงด้วยความเต็มใจ  รายละเอียดการกระทำผิดเกี่ยวกับการรับสารภาพนั้น  พนักงานสอบสวนได้บันทึกไว้  และให้ผู้ต้องหาลงชื่อในบันทึกนั้นรวมไว้ในสำนวนการสอบสวน  ต่อมาพนักงานอัยการได้นำสิบส่งบันทึกคำรับสารภาพของผู้ต้องหานั้นต่อศาล  ทางศาลได้รับไว้

เช่นนี้  ถ้าท่านเป็นศาล  จะรับฟังคำรับสารภาพนั้นเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้เพียงใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  134/4  ในการถามคำให้การผู้ต้องหา  ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การ  ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

ถ้อยคำใดๆที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง  หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา  134/1  มาตรา  134/2  และมาตรา  134/3  จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้

วินิจฉัย

ในการถามคำให้การผู้ต้องหา  พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้  ถ้าผู้ต้องหาให้การถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ 

หากได้ความว่าพนักงานสอบสวนแจ้งสิทธิดังกล่าวข้างต้นไม่ครบ  ถ้อยคำของผู้ต้องหาที่ได้ให้ไว้ย่อมไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานของผู้ต้องหาได้  ตามมาตรา  134(1)(2)  ประกอบวรรคท้าย

เมื่อได้ความว่า  ทางตำรวจจับผู้ต้องหาได้แล้ว  ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะถามคำให้การผู้ต้องหา  ได้แจ้งสิทธิตามกฎหมายต่อผู้ต้องหา  เฉพาะตาม  (1)  เท่านั้น  ไม่ได้แจ้งสิทธิในข้อ  (2)  ให้ผู้ต้องหาทราบแต่อย่างใด  ส่งผลให้ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาได้ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนในกรณีดังกล่าว  ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้  เนื่องจากพนักงานสอบสวนแจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย  ตามมาตรา  134(1)(2)  ประกอบวรรคท้าย

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นศาล  จะไม่รับฟังบันทึกคำรับสารภาพของผู้ต้องหาเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหานั้น  แม้ผู้ต้องหาจะให้การสารภาพด้วยความเต็มใจก็ตาม

 

ข้อ  4  นายกลางถูกจับและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสอบสวน  โดยมีนายภาวิตใช้ตำแหน่ง  ข้าราชการเป็นหลักประกันให้แก่นายกลาง  หลังจากนายกลางได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวได้สามวัน  นายภาวิตพบว่านายกลางกำลังจะหลบหนีไปต่างจังหวัด  และนายภาวิตเห็น  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์อยู่ในบริเวณนั้นจึงขอให้  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์ทำการจับนายกลาง  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์  จึงทำการจับนายกลางทันทีโดยไม่มีหมายจับ

ดังนี้  การจับของ  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  78  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใด  โดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้  เว้นแต่

(4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราว  ตามมาตรา  117

มาตรา  117  เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยหนีหรือจะหลบหนีให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่พบการกระทำดังกล่าวมีอำนาจจับผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นได้  แต่ในกรณีที่บุคคลซึ่งทำสัญญาประกันหรือเป็นหลักประกันเป็นผู้พบเห็นการกระทำดังกล่าว  อาจขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่ใกล้ที่สุดจับผู้ต้องหาหรือจำเลยได้…

วินิจฉัย

นายภาวิต  ใช้ตำแหน่งข้าราชการหลักประกันให้แก่นายกลางผู้ต้องหาซึ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างสอบสวน  ต่อมานายภาวิตพบว่านายกลางกำลังจะหลบหนีไปต่างจังหวัด  และนายภาวิตเห็น  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์  อยู่ในบริเวณนั้นจึงขอให้  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์  ทำการจับนายกลาง  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์จึงทำการจับนายกลางทันทีโดยไม่มีหมายจับ  ดังนี้  ร.ต.อ. เศรษฐพงฐ์  มีอำนาจในการจับนายกลางได้แม้ว่าจะไม่มีหมายจับก็ตาม  เนื่องจากเป็นกรณีที่บุคคลซึ่งเป็นหลักประกันเป็นผู้พบเห็นผู้ต้องหาหรือจำเลยหนีหรือจะหลบหนี  บุคคลผู้เป็นหลักประกันสามารถขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่ใกล้ที่สุดจับผู้ต้องหาหรือจำเลยได้  การจับของ  ร.ต.อ.เศรษฐพงษ์  จึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  78(4)  ประกอบมาตรา  117

สรุป  การจับของ  ร.ต.อ. เศรษฐพงษ์ชอบด้วยกฎหมาย

Advertisement