การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายดีเป็นโจทก์ฟ้องนายเกเรต่อศาลแขวง  (ในท้องที่นั้นมีทั้งศาลจังหวัดและศาลแขวง)  ในข้อหากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี  ปรับไม่เกินหกพันบาท  นายนิติผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดแห่งนั้นได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล  จึงพิพากษายกฟ้อง  คำพิพากษาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม  (3)  (4)  หรือ  (5)

วินิจฉัย

ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  334  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  ปรับไม่เกิน  6,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(5)  ประกอบมาตรา  17 

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำพิพากษายกฟ้องของนายนิติผู้พิพากษาประจำศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  อำนาจของผู้พิพากษาประจำศาลนั้นถูกจำกัดโดยบทบัญญัติมาตรา  25  วรรคท้าย  กล่าวคือ  ไม่มีอำนาจตามมาตรา  25(3)  (4)  และ  (5)  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายนิติเป็นผู้พิพากษาประจำศาล  นายนิติจึงไม่มีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา  การที่นายนิติผู้พิพากษาประจำศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล  จึงพิพากษายกฟ้อง  คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(3) ประกอบวรรคท้าย

สรุป  คำพิพากษาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  นายดำผู้พิพากษาศาลแขวงได้นั่งพิจารณาคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสี่พันบาท  เมื่อพิจารณาคดีเสร็จแล้วเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยสิบเดือนและปรับสองพันบาท  จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง  คงลงโทษจำคุกห้าเดือนและปรับหนึ่งพันบาท  แต่เนื่องจากจำเลยเป็นนักศึกษาและเป็นความผิดครั้งแรกสมควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี  โทษจำคุกจึงให้รอไว้มีกำหนดหนึ่งปี

คำพิพากษาของนายดำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบมาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน  หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้

วินิจฉัย

ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  ปรับไม่เกิน  60,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(5)  ประกอบมาตรา  17

แต่ในการพิพากษาคดีอาญา  ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวถูกจำกัดอำนาจในการพิพากษาตามมาตรา  25(5)  กล่าวคือ  จะพิพากษาลงโทษจำคุกเกิน  6  เดือนหรือปรับเกิน  10,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้  ทั้งนี้พิจารณาจากอัตราโทษที่ศาลลงแก่จำเลยในขั้นสุดท้ายหลังจากมีการลดมาตราส่วนโทษ  เพิ่มโทษ  หรือลดโทษตามกฎหมายแล้ว  ดังนั้นการที่ศาลแขวงโดยนายดำ  ผู้พิพากษาคนเดียวพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด  10  เดือน  ปรับ  2,000  บาทแต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  78  คงเหลือให้จำคุก  5  เดือน  และปรับ  1,000  บาท  ย่อมกระทำได้  เพราะไม่เกินอำนาจของผู้พิพากษาคนเดียว  ตามมาตรา  25(5)  (ฎ.1125/2481)

ส่วนประเด็นที่ศาลรอการลงโทษจำคุกกำหนด  1  ปีนั้นชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  แม้ศาลจะรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนดเกินกว่า  6  เดือน  ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวก็มีอำนาจทำได้  ไม่ถือว่าเกินอำนาจของศาลแขวง  ทั้งนี้เนื่องจากการรอการลงโทษมิใช่การลงโทษ  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  18

สรุป  คำพิพากษาของนายดำชอบด้วยกฎหมาย 

 

ข้อ  3  นายหนึ่งประธานศาลอุทธรณ์ได้จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้นายสอง  นายสามและนายสี่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์  เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดี  ขณะทำคำพิพากษาคดีนั้น  นายสองหัวใจวายถึงแก่ความตาย  นายสามและนายสี่จึงนำคดีไปปรึกษานายหนึ่ง  แต่นายหนึ่งได้ลาพักผ่อนไปต่างประเทศพอดี  นายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์ที่มีอาวุโสสูงสุดจึงสั่งให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสอง  ร่วมกับนายสามและนายสี่  ทำคำพิพากษาคดีต่อไป

การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  8  วรรคสอง  เมื่อตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์ภาค  ว่างลงหรือเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  เป็นผู้ทำการแทน  ถ้ามีรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคหลายคน  ให้รองประธานศาลอุทธรณ์ภาคที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้ทำการแทน  ถ้าผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ให้ผู้ที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับเป็นผู้ทำการแทน

มาตรา  27  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  หรือศาลฎีกา  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสามคนจึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

มาตรา  29  ในระหว่างการทำคำพิพากษาคดีใด  หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ทำให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  และเฉพาะในศาลอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค  และศาลชั้นต้นมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย  ทั้งนี้หลังจากได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว

(2) ในศาลอุทธรณ์หรือศาลอุทธรณ์ภาค  ได้แก่  ประธานศาลอุทธรณ์  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองประธานศาลอุทธรณ์  หรือรองประธานศาลอุทธรณ์ภาคแล้วแต่กรณี

ให้ผู้ทำการแทนในตำแหน่งต่างๆตามมาตรา  8  มาตรา  9  และมาตรา  13  มีอำนาจตาม  (1)  (2)  และ  (3)  ด้วย

มาตรา  30  เหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา  28  และมาตรา  29  หมายถึง  กรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะนั่งพิจารณาคดีนั้นพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่  หรือถูกคัดค้านและถอนตัวไป  หรือไม่อาจปฏิบัติราชการจนไม่สามารถนั่งพิจารณา  หรือคำพิพากษาในคดีนั้นได้

วินิจฉัย

การที่นายหนึ่ง  ประธานศาลอุทธรณ์ภาคจ่ายสำนวนคดีให้นายสอง  นายสาม  และนายสี่  เป็นองค์คณะพิจารณาคดีอาญาเรื่องหนึ่งนั้น ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  27  วรรคแรกที่บังคับว่าในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  3  คน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสอง  ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  29  หมายถึงในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย  หรือเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้เกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะในระหว่างการทำคำพิพากษาคดี  เช่น  เจ็บป่วย  ตาย  หรือโอนย้ายไปรับราชการในตำแหน่งอื่น  เป็นต้น  ทำให้ไม่อาจทำคำพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้  บทบัญญัติมาตรา  29(2)  จึงกำหนดให้ผู้พิพากษาเหล่านั้นมีอำนาจลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาและมีอำนาจทำความเห็นแย้งได้ด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสอง  หัวใจวายกะทันหันในระหว่างการทำคำพิพากษา  ถือเป็นเหตุจำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้  ตามมาตรา  30  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  29(2)  ที่ต้องให้ประธานศาลอุทธรณ์เป็นผู้ลงลายมือชื่อทำคำพิพากษา  เพื่อให้ครบองค์คณะ  แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหนึ่งประธานศาลอุทธรณ์ได้ลาพักผ่อนไปต่างประเทศ  จึงไม่อาจปฏิบัติราชการได้  ดังนั้นรองประธานศาลอุทธรณ์จึงต้องเป็นผู้ทำการแทนและมีอำนาจเข้าเป็นองค์คณะแทนได้  ตามมาตรา  29(2)  และวรรคท้าย  ประกอบมาตรา  8  วรรคสอง  นายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์จึงต้องลงลายมือชื่อทำคำพิพากษาด้วยตนเองเท่านั้น  จะมอบหมายให้นายห้าผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เข้าเป็นองค์คณะแทนนายสองไม่ได้  เพราะมาตรา  29(2)  ไม่ได้ให้อำนาจในการมอบหมายเอาไว้  การกระทำของนายยอดรองประธานศาลอุทธรณ์จึงมิชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  การกระทำของนายยอดไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

Advertisement