การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3004 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ศาลจังหวัดราชบุรีและศาลแขวงราชบุรีมีอาณาเขตตลอดจังหวัดราชบุรี  โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดราชบุรีขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่ดินซึ่งอ้างว่าเป้นของโจทก์  จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย  ศาลสั่งไต่สวนราคาที่ดินและให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมศาลตามราคาที่ดินที่พิพาท  ปรากฏว่าเมื่อไต่สวนแล้วที่ดินพิพาทมีราคาสองแสนเจ็ดหมื่นบาท  ศาลจังหวัดราชบุรีเห็นว่าราคาที่ดินพิพาทไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลจังหวัดราชบุรี  จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้องและสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  ให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีอำนาจ

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ว่าศาลจังหวัดราชบุรีสั่งไม่ชอบ  ท่านเห็นด้วยกับโจทก์หรือไม่  ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  16  วรรคท้าย  ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด  และคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง  ให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ

มาตรา  17  ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี  และมีอำนาจทำการไต่สวน  หรือมีคำสั่งใดๆ  ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  24  และมาตรา  25  วรรคหนึ่ง

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

วินิจฉัย

ศาลแขวงโดยผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งมีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน  3  แสนบาท  ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17

เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยออกจากที่ดิน  โดยหลักแล้วคำฟ้องเช่นนี้ไม่ถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย  คดีจึงเป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทว่าเป็นของโจทก์หรือจำเลย  ส่งผลให้คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์

เมื่อกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์  ก็ต้องมีการตีราคาที่ดินพิพาท  ปรากฏว่าเมื่อไต่สวนแล้วที่ดินพิพาทมีราคาสองแสนเจ็ดหมื่นบาท  ถือว่าทุนทรัพย์ไม่เกินสามแสนบาท  คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  17

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่า  การที่ศาลจังหวัดมีคำสั่งไม่รับฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  ให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลที่มีเขตอำนาจนั้นชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่  เห็นว่า  ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัด  แต่ปรากฏภายหลังว่าคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง  บทบัญญัติแห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  16  วรรคท้ายได้กำหนดบังคับให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจเท่านั้น  ดังนั้นการที่ศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งไม่รับฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  และให้โจทก์นำคดีไปฟ้องยังศาลแขวงนั้นย่อมไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  โจทก์ย่อมอุทธรณ์คำสั่งของศาลจังหวัดราชบุรีดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้

สรุป  ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับโจทก์  เนื่องจากคำสั่งของศาลจังหวัดราชบุรีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  นายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครพนม  จ่ายสำนวนคดีอาญาเรื่องหนึ่งให้แก่นายดำผู้พิพากษาศาลจังหวัดและนางสาวสวยผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดนครพนมมาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา องค์คณะดังกล่าวได้สืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นแล้ว  ยังไม่ได้สืบพยานจำเลย  นายเอกได้โอนสำนวนคดีไปให้นายเขียวและนายขาวผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครพนมเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาแทน  โดยให้ความเห็นว่าเพื่อมิให้กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม  นายดำจึงโต้แย้งว่านายเอกไม่มีอำนาจทำความเห็นในการโอนสำนวนคดี  ผู้มีอำนาจทำความเห็นจะต้องเป็นตน  ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุด

ท่านเห็นว่า  การโต้แย้งของนายดำฟังขึ้นหรือไม่  (ในศาลจังหวัดนครพนมมีนายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาล  นายแดงผู้พิพากษาอาวุโส  นายดำ  นายเขียว  นายขาวและนางสาวสวย  ผู้พิพากษาจังหวัดและผู้พิพากษาประจำศาลจังหวัดตามลำดับ)

ธงคำตอบ

มาตรา  33  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม  การเรียกคืนสำนวนคดีหรือการโอนสำนวนคดี  ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์คณะผู้พิพากษาใด  ประธานศาลฎีกา  ประธานศาลอุทธรณ์  ประธานศาลอุทธรณ์ภาค  อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น  และรองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวงที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น  แล้วแต่กรณีที่มิได้เป็นองค์คณะในสำนวนคดีดังกล่าวได้เสนอความเห็นให้กระทำได้

ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดี  ผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาในศาลจังหวัดหรือศาลแขวง  ที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลนั้น  แล้วแต่กรณี  ไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้น  ให้รองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  หรือผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้น  เป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็นแทน  ในกรณีที่รองประธานศาลฎีกา  รองประธานศาลอุทธรณ์  รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  มีหนึ่งคนหรอมีหลายคนแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ หรือได้เข้าเป็นองค์คณะในสำนวนคดีที่เรียกคืนหรือโอนนั้นทั้งหมด  ให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดของศาลนั้นเป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็น

ผู้พิพากษาอาวุโสหรือผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจในการเสนอความเห็นตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง

วินิจฉัย

เมื่อหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาล  จ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว  ก็ต้องให้องค์คณะดังกล่าวนั้นพิจารณาไปจนเสร็จสำนวน  จะเรียกคืนสำนวนคดีหรือโอนสำนวนจากองค์คณะผู้พิพากษาผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นไม่ได้  เว้นแต่

1       เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม  ในการพิจารณาหรือพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้น  และ

2       ในกรณีของศาลจังหวัด  ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัด  ซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในคดีนั้นเสนอความเห็นให้เรียกคืนสำนวนคดีนั้น  หรือให้โอนสำนวนคดีนั้นไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่น

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  นายเอกมีอำนาจในการทำความเห็นให้โอนสำนวนคดีหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อนายเอกผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดซึ่งเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบของศาลได้จ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะผู้พิพากษาในศาลไปแล้ว  แม้นายเอกจะเห็นว่าเป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาคดี  นายเอกก็ไม่มีอำนาจทำความเห็นให้โอนสำนวนคดีดังกล่าวไปให้นายเขียวและนายขาวผู้พิพากษาอื่นในศาลจังหวัดเป็นองค์คณะแทนได้  เนื่องจากพระธรรมนูญศาลยุติธรรมกำหนดไว้โดยเฉพาะตัวแล้วว่าผู้มีอำนาจเสนอความเห็นให้โอนสำนวนคดีไปให้องค์คณะผู้พิพากษาอื่นได้นั้น  ต้องเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดในศาลจังหวัดซึ่งมิได้เป็นองค์คณะในคดีนั้นเท่านั้น  ซึ่งในที่นี้ก็คือ  นายเขียว  (ส่วนนายแดงแม้จะเป็นผู้พิพากษาอาวุโส  ก็ไม่มีอำนาจในการเสนอความเห็นให้โอนสำนวนคดีได้ตามมาตรา  33  วรรคสาม)  ดังนั้นที่นายดำโต้แย้งว่านายเอกไม่มีอำนาจทำความเห็นในการโอนสำนวนคดีจึงฟังขึ้น

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ที่นายดำโต้แย้งว่า  ผู้มีอำนาจทำความเห็นจะต้องเป็นตน  ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุดนั้นฟังขึ้นหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อพิจารณาถึงลำดับอาวุโสในศาลจังหวัดนครพนมแล้ว  ถือว่านายดำเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสสูงสุด  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนายดำเป็นองค์คณะในคดีดังกล่าว  นายดำจึงไม่อาจเสนอความเห็นให้โอนสำนวนคดีดังกล่าวได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  33  วรรคแรก  ในกรณีนี้บทบัญญัติมาตรา  33  วรรคสองจึงให้ผู้พิพากษาที่มีอาวุโสถัดลงมาตามลำดับในศาลนั้น  เป็นผู้มีอำนาจในการเสนอความเห็นแทน  ซึ่งก็คือ  นายเขียว  ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง  การโต้แย้งของนายดำในประเด็นจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ที่นายดำโต้แย้งว่านายเอกไม่มีอำนาจทำความเห็นในการโอนสำนวนคดีนั้นฟังขึ้น  ส่วนที่โต้แย้งว่าผู้มีอำนาจทำความเห็นในการโอนสำนวนคดีจะต้องเป็นตนเพราะเป็นผู้พิพากษาที่มอาวุโสสูงสุดนั้นฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  3  โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินให้เช่า  และเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระเป็นจำนวนเงินสองแสนบาทต่อศาลจังหวัด  จำเลยให้การต่อสู้ว่า  สัญญาเช่ายังไม่ครบกำหนดเวลา  และไม่เคยค้างค่าเช่า  โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยโดยมีนายจันทร์ผู้พิพากษาอาวุโส  และนายอังคารผู้พิพากษาศาลจังหวัดเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษา  นายจันทร์เห็นว่าคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทไม่ยุ่งยาก  และจำนวนที่พิพาทก็ไม่เกินสามแสน  จึงทำการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จแล้วให้นายอังคารทำการตรวจสำนวน  ก่อนที่ทั้งสองจะลงลายมือชื่อร่วมกันในคำพิพากษา  คำพิพากษานี้ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ 

ธงคำตอบ

มาตรา  18  ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น

มาตรา  25  ในศาลชั้นต้น  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น  ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง  ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

มาตรา  26  ภายใต้บังคับมาตรา  25  ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น  นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน  จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาที่มิได้อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมอื่น  และในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลจังหวัดซึ่งเป็นศาลชั้นต้นนั้น  ต้องมีผู้พิพากษาเป็นองค์คณะอย่างน้อย  2  คนโดยต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกิน  1  คนตามมาตรา  18  และมาตรา  26

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำพิพากษาของศาลชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่  เห็นว่า  คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่เช่าและเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระเป็นเงินสองแสนบาท  โดยจำเลยมิได้โต้แย้งว่าที่ดินที่เช่าเป็นของจำเลยแต่อย่างใด  จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์  อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัดตามมาตรา  18

สำหรับการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งของศาลจังหวัดนั้น  ถ้าเป็นคดีมีทุนทรัพย์และราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท  ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ตามมาตรา  25(4)  แต่สำหรับคดีไม่มีทุนทรัพย์นั้น  ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลจังหวัดซึ่งเป็นศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีไม่มีทุนทรัพย์ทุกประเภท  ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย  2  คน  เป็นองค์คณะ  ดังนั้น  การที่นายจันทร์ผู้พิพากษาอาวุโสแต่เพียงผู้เดียวได้ทำการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จโดยมิได้ร่วมพิจารณาคดีกับนายอังคารด้วย  จึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา  25(4)  ประกอบมาตรา  26  นายอังคารจึงไม่สามารถทำคำพิพากษาในคดีนี้ได้

ดังนั้น  การที่นายอังคารทำการตรวจสำนวนก่อนที่จะร่วมลงลายมือชื่อในคำพิพากษา  คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป  คำพิพากษาดังกล่าวไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

Advertisement