การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  โจ๋กับเพื่อนไปดูการแสดงคอนเสิร์ตประเทืองปัญญา  เห็นจ๋องนักเรียนอาชีวะต่างสถาบันที่เป็นคู่อริเดินมาดูคอนเสิร์ตด้วย  จึงถือไม้วิ่งไล่ตีแต่จ๋องวิ่งหนีไม่ยอมสู้ด้วย  ขณะเดียวกัน  เอกซึ่งเป็นคู่อริกับโรงเรียนของจ๋องเห็นจ๋องถูกไล่ตีจึงวิ่งตามไปเพื่อทำร้ายจ๋องด้วย  เมื่อโจ๋ไล่ตามทันตีจ๋องล้มลงได้รับบาดเจ็บ  เอกจึงตรงเข้าไปใช้มีดคัตเตอร์กรีดข้อมือจ๋องจนได้รับอันตรายสาหัส  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  โจ๋จะมีความผิดต่อร่างกายฐานใด

ธงคำตอบ

มาตรา  295  ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย  หรือจิตใจของผู้นั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ต้องระวางโทษ

มาตรา  297  ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายอันตรายสาหัส  ต้องระวางโทษ…

มาตรา  299  วรรคแรก  ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลแต่สามคนขึ้นไป  และบุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่รับอันตรายสาหัส  โดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้นต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295  ประกอบด้วย

1       ทำร้าย

2       ผู้อื่น

3       จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น

4       โดยเจตนา

องค์ประกอบความผิดฐานเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  299  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้

2       ระหว่างบุคคลตั้งแต่  3  คนขึ้นไป

3       บุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่  รับอันตรายสาหัสโดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้น

4       โดยเจตนา

โจ๋ถือไม้วิ่งไล่ตีจ๋อง  แต่จ๋องไม่ยอมสู้ด้วย  และขณะจ๋องวิ่งหนีโจ๋ไล่ตามทันตีจ๋องล้มลงได้รับบาดเจ็บ  เป็นกรณีที่โจ๋ทำร้ายจ๋องเพียงฝ่ายเดียว  ถือมิได้ว่าเป็นการสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน  โจ๋จึงต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295

ส่วนการที่เอกใช้มีดคัตเตอร์กรีดข้อมือจ๋องได้รับอันตรายสาหัส  โจ๋ก็มิต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ตามมาตรา  297  ด้วย  เพราะมิใช่เป็นตัวการร่วมในการกระทำผิด  ทั้งนี้ลักษณะของการเป็นตัวการร่วมกันกระทำผิด  ต้องมีการกระทำร่วมกันและต้องมีเจตนาร่วมกันด้วย  ในส่วนของการกระทำอาจมีการแบ่งหน้าที่กันกระทำ  ส่วนการมีเจตนาร่วมกันนั้น  ต้องมีการตกลงหรือคบคิดกันว่าจะร่วมกันกระทำผิด  ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด เป็นเหตุให้มีคนหลายคนต่างเข้ามาทำร้ายผู้ใดถึงแก่ความตาย  โดยผู้ที่เข้ามาทำร้ายไม่ได้สมคบกันมาก่อน  จึงไม่มีเจตนาร่วมกันกระทำผิด  คงมีแต่การกระทำร่วมกันเท่านั้น  ไม่มีลักษณะร่วมกันกระทำผิด  แต่เป็นเรื่องต่างคนต่างทำร้าย  แต่ละคนจึงมีความผิดเฉพาะผลที่เกิดจากการกระทำของตนเท่านั้น

นอกจากนี้โจ๋ยังไม่มีความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ตามมาตรา  299  วรรคแรก  เพราะการที่โจ๋และเอกเข้าร่วมทำร้ายจ๋องฝ่ายเดียว  โดยจ๋องมิได้สมัครใจเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้ด้วย  จึงมิใช่การชุลมุนต่อสู้ตามนัยมาตรา  299  วรรคแรก  โจ๋จึงไม่ต้องรับผิด

สรุป  โจ๋มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  295

 

ข้อ  2  นายศุกร์หลอกลวงเด็กชายอาทิตย์บุตรของนายพุธให้ขึ้นรถไปด้วยกัน  หลังจากนั้น  2  วัน  นายศุกร์ได้โทรศัพท์เรียกเอาเงินค่าไถ่จากนายพุธ  โดยขู่เข็ญว่าถ้านายพุธไปแจ้งความต่อตำรวจจะตัดมือทั้ง  2  ข้างของเด็กชายอาทิตย์  นายพุธกลัวว่าบุตรจะได้รับอันตรายจึงยอมมอบเงินค่าไถ่ตามที่นายศุกร์เรียกเอา  หลังจากได้ค่าไถ่แล้วนายศุกร์ได้นำตัวเด็กชายอาทิตย์มาปล่อยไว้ที่หน้าบ้านของนายพุธ  และเด็กชายอาทิตย์ก็กลับเข้าบ้านโดยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด  จากข้อเท็จจริงดังกล่าว  ถ้าต่อมานายศุกร์ถูกจับกุมและถูกฟ้องต่อศาลว่ากระทำความผิดฐานเอาตัวเด็กไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่  ให้วินิจฉัยว่าการกระทำของนายศุกร์จะเป็นความผิดตามคำฟ้องและต้องรับโทษอย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  313  ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

ต้องระวางโทษ…

มาตรา  316  ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา  313  มาตรา  314  หรือมาตรา  315  จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป  ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต  ให้ลงโทษน้อยกว่ากฎหมายกำหนดไว้  แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวเด็กอายุยังไม่เกิน  15  ปีไปเรียกค่าไถ่  ตามมาตรา  313  วรรคแรก (1)  ประกอบด้วย

1       เอาตัวเด็กอายุไม่เกิน  15  ปีไป

2       โดยเจตนา

3       เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

นายศุกร์หลอกลวงเด็กชายอาทิตย์บุตรของนายพุธให้ขึ้นรถไปด้วยกัน  และได้โทรศัพท์เรียกค่าไถ่จากนายพุธ  นายศุกร์มีความผิดฐานเอาตัวเด็กไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา  313  วรรคแรก  (1)  แต่หลังจากได้ค่าไถ่แล้ว  นายศุกร์ได้นำตัวเด็กชายอาทิตย์มาปล่อยไว้ที่หน้าบ้านของนายพุธ  เป็นกรณีที่นายศุกร์ได้จัดให้เด็กชายอาทิตย์ได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา  และเด็กชายอาทิตย์ก็ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด  จึงลดโทษให้โดยศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้  แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งตามมาตรา  316

สรุป  นายศุกร์มีความผิดฐานเอาตัวเด็กไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา  313  วรรคแรก  (1)  แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้  แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งตามมาตรา  316

 

ข้อ  3  โชคเป็นสามีของชุลีพร  ร่วมกันกับชัยคบคิดกันจะเอาเงินจากชุลีพรซึ่งเป็นภริยาของโชค  ชัยจึงไปพบชุลีพรที่บ้านตามแผนการของโชค  ชัยอ้างว่าโชคเป็นหนี้ตนเองอยู่  50,000  บาท  และพูดขู่ชุลีพรให้ชำระหนี้แก่ตน  มิฉะนั้นจะแจ้งตำรวจมาจับโชคไปนอนในตารางให้เข็ด  ชุลีพรกลัวว่าโชคผู้เป็นสามีจะถูกจับกุมตามคำขู่  จึงยอมตามคำขู่ของชัย  แต่เนื่องจากมีเงินไม่พอจึงขอเขียนเช็คเป็นจำนวน  50,000  บาทมอบแก่ชัยไป  โดยเช็คกำหนดให้ไปรับเงินอีก  15  วัน  นับแต่วันที่ได้มอบให้  แต่ปรากฏว่าชัยถูกตำรวจจับก่อนที่ไปรับเงิน  ดังนี้โชคกับชัยกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดนั้น  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

มาตรา  337  วรรคแรก  ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้  หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน  โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สามจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชกต้องระวางโทษ..

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานกรรโชก  ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ข่มขืนใจ

2       ผู้อื่น

3       โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต  ร่างกาย  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ  หรือของบุคคลที่สาม

4       ให้ยอมให้  หรือยอมจะให้ตน  หรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน

5       จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น 

6       โดยเจตนา

ชัยได้ไปขู่จะแจ้งจับโชคซึ่งเป็นสามีของชุลีพรตามแผนการของโชคให้ชุลีพรยอมมอบเงินให้ทั้งที่รู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิ  จึงเป็นการข่มขืนใจชุลีพรว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพของโชคบุคคลที่สามถึงแม้ว่าโชคซึ่งเป็นบุคคลที่สามจะรู้ก็ตาม  แต่เมื่อชุลีพรกลัวตามคำขู่และยอมจะให้เงิน  50,000  บาท  ถือว่าครบองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชกทรัพย์แล้ว  แม้ชัยจะยังไม่ได้รับเงินตามที่ขู่เนื่องจากโดนตำรวจจับก็ตาม เพราะความผิดดังกล่าวเมื่อผู้ถูกข่มขืนใจยอมให้  หรือยอมจะให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินตามที่ถูกข่มขืนใจแล้วย่อมเป็นความผิดสำเร็จทันที  ชัยจึงมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์  ตามมาตรา  337  วรรคแรก

ส่วนโชค ซึ่งเป็นผู้วางแผน  ถือได้ว่ามีเจตนาร่วมในการกระทำความผิด  แต่ไม่ได้เข้าร่วมในการกระทำความผิดด้วย  ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโชคอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ  ซึ่งเป็นวิสัยที่อาจจะช่วยเหลือชัยได้ทันท่วงที  จึงไม่ใช่การแบ่งหน้าที่กันทำ  ไม่เป็นตัวการ  แต่เป็นการส่งเสริมช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่ชัยก่อนกระทำผิด  โชคจึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนก่อนการกระทำผิดฐานกรรโชกทรัพย์  ตามมาตรา  337  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  86

สรุป  ชัยมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์  ส่วนโชคเป็นเพียงผู้สนับสนุน

 

ข้อ  4  ส้มฝากข้าวสารไว้กับชมพู่เป็นจำนวน  20  ถัง  ชมพู่นำข้าวสารดังกล่าวไปเก็บไว้  แต่ต่อมาชมพู่ได้เอาข้าวสารที่ส้มฝากไว้ไปขายให้แก่เงาะทั้งหมดในราคา  5,000  บาท  ภายหลังส้มมาทวงข้าวสารคืนชมพู่จึงบอกว่าได้ขายให้แก่เงาะไปแล้วเป็นเงิน  5,000  บาท เดี๋ยวจะจ่ายเป็นเงินให้แก่ส้มแทน  ส้มเห็นว่าได้ราคาดีจึงยอมรับเป็นเงินแทน  ชมพู่ให้เงินแก่ส้มไป  500  บาท  โดยบอกว่าตอนนี้ไม่มีเงินจึงขอผัดชำระเงิน  และให้ส้มมารับเงินสิ้นเดือน  ปรากฏว่าส้มมาขอรับชำระเงินตามวันนัด  ชมพู่อ้างว่าไม่รู้เรื่องดังกล่าวและปฏิเสธชำระเงิน  ส้มจึงฟ้องร้องเป็นคดีว่าชมพู่ยักยอกเงินค่าข้าวสารของตนเองไป  ดังนี้  การกระทำของชมพู่เป็นความผิดตามข้อกล่าวหาของส้มหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  352  วรรคแรก  ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น  หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอกต้องระวางโทษ…

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก  ประกอบด้วย

1       ครอบครอง

2       ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3       เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4       โดยเจตนา

5       โดยทุจริต

ส้มฝากข้าวสารไว้กับชมพู่จำนวน  20  ถัง  การที่ชมพู่ได้นำข้าวสารของส้มที่รับฝากไว้ไปขายได้เป็นเงิน  5,000  บาท  แล้วภายหลังส้มยอมรับจำนวนเงินดังกล่าวแทนข้าวสารที่ฝากไว้  แต่ชมพู่ชำระเพียงบางส่วนและขอผัดชำระเงินส่วนที่เหลือ  แล้วภายหลังไม่ชำระเงินตามนัด  ดังนี้เป็นเรื่องการเบียดบังเอาทรัพย์ที่รับฝากเป็นของตนโดยทุจริต  อันเป็นความผิดฐานยักยอกข้าวสาร  ตามมาตรา  352  วรรคแรก

แต่ข้อเท็จจริงส้มฟ้องร้องเป็นคดีว่าชมพู่ยักยอกเงินค่าข้าวสาร  หาใช่เป็นการฟ้องหาว่ายักยอกข้าวสารไม่  แม้จะถือว่าข้าวสารเป็นของส้ม  ซึ่งหากจะมีกรณีจะต้องคืนข้าวสารและชมพู่คืนไม่ได้  ชมพู่อาจจะต้องใช้เงินแก่ส้ม  แต่ก็เป็นการบังคับตัวชมพู่เอาเงินมาใช้แทนทรัพย์

ส่วนตัวเงินที่ชมพู่ยักยอกเอาข้าวสารไปขายมาได้  ตกเป็นของชมพู่  ไม่ใช่เป็นของส้มหรือที่ส้มจะบังคับเอากับเงินนั้นได้โดยตรง  เพราะชมพู่ไม่ใช่ตัวแทนขายข้าวสารในนามของส้ม  แม้ชมพู่จะชำระให้บางส่วนแล้วปฏิเสธการชำระเงิน  เอาเงินจำนวนนี้ไปไม่เอามาให้ส้ม  ส้มจะว่าชมพู่ยักยอกเงินค่าข้าวสารนี้ไม่ได้  ฟ้องของส้มไม่มีมูลคดีอาญา  เมื่อชมพู่ไม่คืนเงินจึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง  ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ตามมาตรา  352  วรรคแรก

เมื่อส้มฟ้องกล่าวหาว่าชมพู่ยักยอกเงินค่าข้าวสารไม่ได้ฟ้องว่าชมพู่ยักยอกข้าวสาร  ข้อกล่าวหาของส้มจึงไม่ถูกต้อง  เพราะเงินที่ขายข้าวสารได้เป็นของชมพู่

สรุป  การกระทำของชมพู่ไม่เป็นความผิดตามข้อกล่าวหาของส้มแต่ประการใด

Advertisement