การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  การกระทำความผิดทางอาญาตามกฎหมายพระเจ้ามังรายหรือที่เรียกกันว่า  มังรายศาสตร์  มีหลักเกณฑ์แตกต่างจากการกระทำความผิดอาญา  ตามประมวลกฎหมายอาญาของปัจจุบันอย่างไรบ้าง  อธิบาย

ธงคำตอบ

การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาปัจจุบัน  ต้องประกอบด้วน  (1)  การกระทำคือการเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกายภายใต้จิตใจบังคับ  และ  (2)  ต้องมีเจตนา  คือ ประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทำ  นอกจากนี้ตามปกติยังมีการแบ่งการกระทำออกเป็น  5  ขั้นตอน  ดังนี้

1         คิดที่จะทำความผิด

2         ตกลงใจที่จะทำความผิด

3         ตระเตรียมการเพื่อที่จะกระทำความผิด

4         ลงมือกระทำความผิด

5         กระทำความผิดสำเร็จ

การคิดจะกระทำความผิดหรือตกลงใจที่จะกระทำความผิด  เป็นเรื่องภายในจิตใจ  ยังไม่มีการแสดงออกภายนอก  จึงไม่เป็นความผิดเพราะยังไม่เป็นภยันตรายต่อสังคม  และถึงแม้จะมีการตระเตรียมเพื่อกระทำความผิด  ซึ่งมีการแสดงออกมาภายนอกแล้วก็ตาม  โดยปกติกฎหมายก็ยังไม่ถือเป็นความผิด  เพราะยังห่างไกลต่อความผิดสำเร็จ  เว้นแต่ความผิดร้ายแรงบางฐานความผิด  เช่น  การตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์  หรือตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น  เป็นต้น  

กฎหมายถือเท่ากับว่าเป็นการลงมือกระทำความผิดแล้ว  กล่าวโดยสรุป  ปัจจุบันกฎหมายอาญาไม่ลงโทษผู้คิดจะกระทำความผิด  ตัดสินใจที่จะกระทำความผิด  หรือตระเตรียมเพื่อกระทำผิด  เพราะเป็นเรื่องภายในจิตใจ  และยังห่างไกลต่อความผิดสำเร็จ  แต่ในกำหมายพระเจ้ามังรายมีบทบัญญัติในลักษณะวิวาทด่าตีกันตอนหนึ่งว่า

“ผิถือดาบอยู่กับที่มันว่าจะฟัน  ท่านให้ไหม  5  บาทเฟื้องเงิน

ถือดาบว่าจะฟันแต่ยังไม่ได้ถอดดาบออกจากฝัก  ให้ไหม  100 บาทเฟื้องเงิน

ผิถอดดาบว่าจะฟันแต่ยังไม่ทันได้ไล่ฟัน  ให้ไหม  220  บาทเฟื้องเงิน”

จะเห็นได้ว่าตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  ผู้คิดจะกระทำความผิด  (ถือดาบอยู่กับที่มันว่าจะฟัน)  หรือตัดสินใจจะกระทำความผิด  (ถือดาบว่าจะฟันแต่ยังไม่ได้ถอดดาบออกจากฝัก)  หรือแม้กระทั่งตระเตรียมเพื่อจะกระทำความผิด ( ถอดดาบออกจากฝัก  แต่ยังไม่ทันได้ไล่ฟัน) ล้วนแต่เป็นความผิดมีโทษปรับไหมทั้งสิ้น

เหตุที่กฎหมายพระเจ้ามังรายลงโทษผู้คิดจะกระทำความผิด  หรือตัดสินใจจะกระทำความผิด  อาจเป็นเพราะกฎหมายพระเจ้ามังราย  หรือมังรายศาสตร์อาศัยคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมาย  คัมภีร์พระธรรมศาสตร์เดิมเป็นคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์  เมื่อเข้ามาในประเทศไทยได้แปลงเป็นคัมภีร์ในศาสนาพุทธ  ตามหลักศาสนาพุทธการคิดกระทำความผิดย่อมเป็นบาป  ซึ่งเป็นเรื่องของทางจิตใจ  แต่ทางฝ่ายบ้านเมืองเห็นว่าเป็นการผิดกฎหมาย  จึงมีการลงโทษผู้คิดจะกระทำความผิด  ตัดสินใจที่จะกระทำความผิด  หรือตระเตรียมเพื่อที่จะกระทำความผิด

 

ข้อ  2  ศาสตร์ตราจารย์เรเน่  ดาวิด  ได้แบ่งระบบกฎหมายออกเป็นกี่ระบบ  อะไรบ้าง  จงอธิบายแต่ละระบบโดยย่อ

ธงคำตอบ

ระบบกฎหมายหลักของโลกมี  4  ระบบ  คือ

1         ระบบกฎหมายโรมาโน – เยอรมันนิค  โรมาโนเป็นภาษาของชนเผ่าอีทรัสคัน  หมายความว่า  กรุงโรมเมืองหลวงของประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของประมวลกฎหมายแพ่ง

เยอรมันนิค  หมายความว่า  ชื่อชนเผ่าหนึ่ง  ปัจจุบันคือชาวเยอรมัน  ซึ่งเป็นชนเผ่าที่นำเอาประมวลกฎหมายแพ่งไปใช้กับชนเผ่าของตน

เนื่องจากกฎหมายโรมันเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร  จึงมีผู้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  Written  Law

การที่กฎหมายโรมันจัดทำเป็นประมวลกฎหมาย  จึงมีผู้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  Code  Law

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายนี้คือ  อิตาลี  เยอรมัน  ฝรั่งเศส  สเปน  สวิส  ญี่ปุ่น  ไทย  ฯลฯ

2         ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์  คือ  ระบบกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร  แต่ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้ในการตัดสินคดี  ต้นกำเนิดหรือแม่แบบเกิดขึ้นในประเทศแรกคืออังกฤษ  ระยะแรกมีชนเผ่าต่างๆที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานบนเกาะอังกฤษ  ศาลท้องถิ่นได้นำเอาจารีตประเพณีของชนเผ่ามาตัดสิน  ทำให้ผลของคำพิพากษาแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน  จนกระทั่งชนเผ่าสุดท้ายคือพวกนอร์แมนพิชิตเกาะอังกฤษในสมัยพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1  จึงส่งศาลเคลื่อนที่ออกไปวางหลักเกณฑ์ทำให้จารีตประเพณีเหมือนกันทุกท้องถิ่น  มีลักษณะเป็นสามัญ  (Common)  และใช้กันทั่วไป  จึงเรียกว่า  คอมมอนลอว์  ตัวอย่างเช่น  แคนาดา  อเมริกา  ออสเตรเลีย  นิงซีแลนด์  สหภาพแอฟริกาใต้  เป็นต้น

3         ระบบกฎหมายสังคมนิยม  หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าระบบกฎหมายคอมมิวนิสต์  เกิดขึ้นในประเทศแรกคือรัสเซีย  หลังจากมีการปฏิวัติเมื่อ  ค.ศ.  1917  โดยนำเอาแนวความคิดของนักปราชญ์สองท่าน  คือ  คาร์ล  มาร์กซ์  และเลนิน  ซึ่งถือว่ากฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อให้การปกครองของประเทศยึดหลักผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือชุมชนหรือสังคม  ประเทศใดที่มีการปกครองในระบอบสังคมนิยมตามแนวความคิดของนักปราชญ์ทั้งสอง  ประเทศนั้นจัดอยู่ในระบบกฎหมายสังคมนิยม  เช่น  เวียดนาม  ลาว  เกาหลีเหนือ  จีนบนผืนแผ่นดินใหญ่เป็นต้น

4         ระบบกฎหมายสาสนาและประเพณีนิยม   ปัจจุบันมีบางประเทศที่นำเอาคำสอนของพระผู้เป็นเจ้ามาบัญญัติเป็นกฎหมาย  จึงกล่าวกันว่าศาสนาเป็นที่มาของบ่อเกิดของกฎหมาย  มี  3  กลุ่ม  คือ

 (ก)    ศาสนาอิสลาม  ต้นกำเนิดประเทศแรกคือ  ซาอุดิอาระเบีย  คำสอนของพระเจ้า คือ  อัลลอฮ์  ปรากฎอยู่ในกฎหมาย  เช่น  กฎหมายครอบครัวและมรดก  เป็นต้น

(ข)    ศาสนาคริสต์  แนวความคิดจองศาสนาคริสต์  ใช้เป็นแนวทางในการร่างกฎหมายของประเทศที่นับถือคริสต์ศาสนา  เช่น  ข้อกำหนดห้ามหย่า   การห้ามคุมกำเนิด  การห้ามทำแท้ง  และการห้ามสมรสซ้อน  (Bigamy)  เป็นต้น

(ค)    ศาสนาฮินดู  ต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย  ตัวอย่างปรากฏอยู่ในตำรากฎหมาย  คือ  พระธรรมศาสตร์  หรือของไทยเรียกคัมภีร์ธรรมศาสตร์  ของมโนสาราจารย์

ส่วนประเพณีนิยม  เกิดจากคำสอนของนักปราชญ์  มิใช่พระผู้เป็นเจ้า  เช่น  ชาวจีนในสมัยขงจื้อที่นำเอาความเชื่อของนักปราชญ์ท่านนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายในชีวิตประจำวัน  หรือลัทธิชินโตของประเทศญี่ปุ่นก็มีอิทธิพลต่อการจัดทำกฎหมายของญี่ปุ่นเช่นกัน

 

ข้อ  3  ระบบกฎหมายอังกฤษในยุคที่  2  คือ  ยุคชาวนอร์แมน  ค.ศ. 1066 – 1485  มีเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์กฎหมายอะไรบ้าง  จงกล่าวโดยสรุปเป็นข้อๆ

ธงคำตอบ

สรุปเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์กฎหมายของประเทศอังกฤษ  ในยุคที่  2  ของชาวนอร์แมนมีดังนี้

1         เกิดจารีตประเพณีที่เหมือนกัน  (เกิด Common  LAW)

2         เกิดการปกครองเรียกว่า  ศักดินาสวามิภักดิ์ (เกิด Feudalism)

3         เกิดรัฐธรรมนูญฉบับแรก  (เกิด  Magna  Carta)

4         เกิดการปฏิรูปศาลหลวง  (เกิดศาลคอมมอน  พลีส์  ศาลเอ็คซ์เซ็คเกอร์  ศาลคิงส์ เบนซ์)

5         เกิดวิธีพิจารณาโดยคณะลูกขุน  (เกิด Jury)  ซึ่งเดิมมีวิธีพิจารณาโดยวิธีพิสูจน์น้ำพิสูจน์ไฟ  วิธีการสาบานตัว  วิธีการต่อสู้

Advertisement