การสอบไล่ภาค 1  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  (มังรายศาสตร์)  และกฎหมายตราสามดวง  มีการแบ่งทรัพย์ออกเป็นกี่ประเภท  อะไรบ้าง  และการแบ่งประเภทของทรัพย์ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  และกฎหมายตราสามดวงมีผลในทางกฎหมายหรือไม่  อย่างไร  เมื่อเทียบกับการแบ่งประเภทของทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ธงคำตอบ

ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  (มังรายศาสตร์)  และกฎหมายตราสามดวง  มีการแบ่งทรัพย์ออกเป็น  2  ประเภทคือ

 1       ทรัพย์มีวิญญาณ  (วิญญาณทรัพย์)  ซึ่งได้แก่  ช้าง  ม้า  วัว  ควาย  เป็ด  ไก่  ฯลฯ  ประเด็นที่น่าสนใจคือ  คนที่เป็นลูกหรือเมียผู้อื่น  ข้าทาส  ถือเป็นทรัพย์หรือไม่  เพราะพ่อแม่ขายลูกได้  ผัวขายเมียได้  นายเงินขายข้าทาสได้  ดังนั้นบางครั้งก็อาจจัดเป็นทรัพย์ประเภทมีวิญญาณได้เหมือนกัน  แต่คนที่มีฐานะเป็นทรัพย์มีลักษณะแตกต่างจากทรัพย์มีวิญญาณอื่น  เช่น  พวกสัตว์ต่างๆที่บางครั้งคนก็เป็นทรัพย์  แต่บางครั้งก็ไม่เป็นทรัพย์  หากคนนั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจอิสระ  (อำนาจปกครอง)  ของใคร  หรือเป็นไทแก่ตนเอง  ในขณะที่สัตว์ต่างๆจะเป็นทรัพย์ตลอดกาลไม่มีการเปลี่ยนสถานะ

2       ทรัพย์ไม่มีวิญญาณ  ได้แก่  แก้ว  แหวน  เงิน  ทอง  ผ้าผ่อนแพรพรรณ  อีกนัยหนึ่งทรัพย์ไม่มีวิญญาณคือทรัพย์ที่ไม่ใช่คนหรือสัตว์ชนิดต่างๆนั่นเอง

กล่าวกันว่า  การแบ่งประเภทของทรัพย์ตามกฎหมายพระเจ้ามังราย  (มังรายศาสตร์)  และกฎหมายตราสามดวงไม่มีผลในทางกฎหมายแต่ประการใด  ไม่เหมือนกับการแบ่งประเภทของทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่แบ่งทรัพย์ออกเป็นอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์  ซึ่งถ้าเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่  มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะ  ส่วนการซื้อขายสังหาริมทรัพย์โดยปกติไม่มีแบบหรือการที่ที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์มีแดนกรรมสิทธิ์  ส่วนสังหาริมทรัพย์ไม่มีแดนกรรมสิทธิ์  เป็นต้น

 

ข้อ  2  ระบบกฎหมายศาสนาที่สำคัญศาสนาหนึ่ง  คือ  ศาสนาฮินดู  อยากทราบที่มาของกฎหมายฮินดูมีที่มาจากอะไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ที่มาของกฎหมายฮินดูมี  4  ประการคือ

 1       ศรุติ  (Srutis)  ได้แก่  หลักการในศาสนาฮินดู  ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์  ได้แก่  พระเวท  เวทางค์  และอุปนิษัย  โดยได้เกิดขึ้น  เมื่อประมาณ  2,570 – 3,470  ปีมาแล้ว  ในคัมภีร์ต่างๆเหล่านี้นอกจากจะมีกฎเกณฑ์ทางกฎหมายแล้ว  ยังประกอบไปด้วยบทบัญญัติทางอภิปรัชญา  พิธีการทางศาสนา  และวิชาโหราศาสตร์อีกด้วย  ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นหลักการสำคัญขั้นมูลฐานที่จำเป็นแก่มนุษย์  และหลักการดังกล่าวนี้ได้กำหนดไว้เช่นเดียวกันกับในศาสนาพราหมณ์

2       ศาสตร์  Sastras)  หรือ  สมฤติ  (Smritis)   บางตำราเรียกว่า  พระราชศาสตร์  หรือสาขาคดี  ได้แก่บทบัญญัติที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นเพื่อประกอบกับพระธรรมศาสตร์

3       ธรรมะ (Dharma) ได้แก่  บทบัญญัติซึ่งกำหนดถึงหน้าที่   ซึ่งผู้นับถือศาสนาฮินดูทั้งหลายจะต้องปฏิบัติ  ธรรมะนี้ได้กำหนดไว้เฉพาะหน้าที่เท่านั้น  แต่ไม่ได้กำหนดถึงสิทธิด้วย

หน้าที่ๆกำหนดไว้นี้จะแตกต่างกันไปตามฐานะและสภาพของบุคคล  รวมทั้งอายุด้วย  แม้แต่กษัตริย์เองก็ต้องปฏิบัติตามธรรมะในส่วนที่เกี่ยวกับกษัตริย์ด้วย

4       ธรรมศาสตร์  (Dharmasastras)  และนิพนธ์  (Nibandhas)  ธรรมะที่กล่าวมาแล้วจะพบอยู่ในตำรากฎหมายซึ่งเรียกว่า  ธรรมศาสตร์  และในบทวิจารณ์ของธรรมศาสตร์ซึ่งเรียกว่า  นิพนธ์

ในส่วนที่เกี่วกับธรรมศาสตร์เอง  ปรากฏว่ามีอยู่มากมาย  แต่ฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ฉบับของมนู  ซึ่งชาวตะวันตกนิยมเรียกว่า  Manu Code  แต่ประเทศไทยเรียกว่าคัมภีร์ธรรมศาสตร์ของมโนสาราจารย์  นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ยัชนวัลย์  และคัมภีร์นรราช เป็นต้น

สำหรับนิพนธ์นั้น  มีประโยชน์เพื่อช่วยให้เข้าใจความหมายของธรรมศาสตร์ได้ถูกต้องยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ข้อความในธรรมศาสตร์คลุมเครือไม่ชัดเจน  หรือขัดแย้งกันระหว่างธรรมศาสตร์ฉบับต่างๆ

 

ข้อ  3  คอมมอนลอว์  (Common  Law)  เป็นระบบกฎหมายหลักของโลกระบบหนึ่ง  ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน  จงอธิบายระบบกฎหมายนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยย่อ

ธงคำตอบ

ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์  มีแหล่งกำเนิดและวิวัฒนาการในประเทศอังกฤษเป็นชาติแรกการทำความเข้าใจในระบบกฎหมายนี้จึงต้องทราบประวัติศาสตร์ระบบกฎหมายอังกฤษ  ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน  ซึ่งมี  4  ยุค  ดังนี้คือ

ยุคที่  1  ยุคแองโกลแซกซอน  ค.ศ. 600  1066  ยุคนี้ปกครองโดยกษัตริย์ชนเผ่าแองโกลแซกซอน  กฎหมายยุคแองโกลแซกซอนนับว่าเป็ยกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ  ซึ่งนำเอากฎหมายจารีตประเพณีมาใช้  กฎหมายสมัยแองโกลแซกซอนจำนวนมากกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการชะระค่าเสียหายไว้  โดยการชำระเป็นเงินตรา

เนื่องจากกฎหมายยุคแองโกลแซกซอนเป็นกฎหมายจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น  ยุคนี้จึงยังไม่เกิดกฎหมาย  Common  Law

ยุคที่  2  ยุคนอร์แมน  ค.ศ. 1016  1035  ยุคนี้ปกครองโดยกษัตริย์ชนเผ่านอร์แมนพระองค์แรกคือ  พระเจ้าวิลเลี่ยมที่  1  ซึ่งนำเอาการปกครองที่เรียกว่า  Feudalism  มาใช้ในประเทศอังกฤษ  ในยุคนี้ศาลท้องถิ่นตัดสินคดีตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นซึ่งล้าสมัย  ทำให้ฝ่ายที่แพ้คดีไม่ได้รับความเป็นธรรม  ราษฎรฝ่ายที่แพ้คดีจึงร้องเรียนต่อพระเจ้าวิลเลี่ยม  พระองค์จึงจัดตั้งศาลกษัตริย์  (King’ Court)  หรือศาลหลวง  (Royal  Court)  ไปวางหลักเกณฑ์ที่เหมือนๆกัน  มีลักษณะสามัญ  (Common)  และใช้กันทั่วประเทศ  ทำให้กฎหมาย Common  Law  เริ่มเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษแต่นั้นเป็นต้นมา

ยุคนี้เกิดแม็คนา  คาตาร์  ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษ  และศาลหลวงได้มีการปฏิรูปใหม่แยกออกเป็น  3 ศาล  คือ  ศาลคอมมอนพลีส์  ศาลเอ็คซ์เช็คเกอร์  และศาลคิงส์เบนส์  ในยุคนี้ศาลหลวงได้นำวิธีพิจารณาคดีแบบใหม่มาใช้  โดยมีคณะลูกขุน  (Jury)

ยุคที่ 3  ยุคเอ็คคิวตี้  ค.ศ.  1485  1832   ยุคนี้ศาลหลวงหรือศาลคอมมอนลอว์ใช้จารีตประเพณีหรือกฎหมายคอมมอนลอว์ในการพิจารณา  จนทำให้กฎหมายคอมมอนลอว์พัฒนาเป็นระบบมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน  ตายตัวไม่ยืดหยุ่น  ทำให้การแก้ไขปรับปรุงได้ลำบาก และไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมหรือเกิดความล้าสมัย  ซึ่งถ้าศาลหลวงตัดสินตามจารีตประเพณีหรือกฎหมายคอมมอนลอว์แล้ว ผลของคำพิพากษาทำให้คู่ความเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม  หรือความเสียหายของเขาไม่ได้รับการเยียวยาตามที่คู่ความฝ่ายนั้นต้องการ  จึงได้มีการถวายฎีกาต่อกษัตริย์ ๆ  มอบให้ชานเซลเลอร์เป็นผู้ตัดสิน  หลักกฎหมายที่ศาลชานเซอรี่นำมาใช้เพื่อแก้ไขความไม่เหมาะสมหรือความไม่เป็นธรรมอันเกิดจากคอมมอนลอว์  หลักที่ศาลชานเซอรี่นำมาอ้างตัดสินแทนจารีตประเพณีหรือกฎหมายคอมมอนลอว์ถือความยุติธรรม  (Equity)  เรียกว่า  หลักความยุติธรรมในสังคมหรือหลักประโยชน์สุขของสังคมนั่นเอง

ยุคที่  4  ยุคปัจจุบัน   เริ่มตั้งแต่ ศตวรรษที่  19  เป็นต้นมา  แนวความคิดในเรื่องเกี่ยวกับสังคมของอังกฤษเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ยึดหลักเสรีนิยมมาเป็นสังคมนิยม  ตั้งแต่ปี  ค.ศ.  1914  อังกฤษยุคนี้กลายเป็นสังคมที่เกิดปัญหาใหม่ๆ  ขึ้นจำนวนมาก  ปัญหาใหม่ของสังคมมีความสลับซับซ้อนละยุ่งยาก  กฎหมาบคอมมอนลอว์และกฎหมายเอ็คคิวตี้  ไม่อาจนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสภาวะในสังคมซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  ด้วยเหตุนี้กฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปกฎหมายลักษณะต่างๆ  เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคม

อังกฤษยุคปัจจุบันมีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  2  ประเภท  คือ  กฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภา 

เรียกว่า  พระราชบัญญัติ  หรือ  Act  และกฎหมายของฝ่ายบริหาร  เรียกว่า พระราชกฤษฎีกา

นอกจากนี้ในศตวรรษที่  19   ได้มีการปฏิรูประบบศาล  ระบบศาลอังกฤษสมัยใหม่แบ่งศาลออกเป็น  3  ชั้น  ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา  คือ ศาลสูงสุด  ศาลสูงชั้นกลาง  และศาลชั้นต้น  สาเหตุที่มีการปฏิรูปศาลเกิดจากเขตอำนาจศาลที่ขัดแย้งและซ้ำซ้อนกัน.

Advertisement