การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1

ก.       มอบหมายให้  ข.  ไปกู้เงินโดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ  ข.  ไปกู้เงิน  ค.  500,000  บาท  โดย  ข.  ทำสัญญาเงินกู้ไว้เป็นหลักฐานในฐานะผู้กู้  และเขียนในสัญญากู้ว่ากู้แทน  ก  ดังนี้  ถามว่า

(1)  ข  มีสิทธิลงชื่อในสัญญากู้หรือไม่  และถ้า  ข  ลงชื่อในสัญญากู้แล้ว  การกระทำของ  ข  เป็นอย่างไร

(2) การกระทำของ  ข  ผูกพันตัวการหรือไม่  ค  จะฟ้อง  ก  ให้รับผิดได้หรือไม่  เพราะในสัญญา  ข  เขียนว่ากู้แทน  ก

(3) พอสรุปได้ว่า  ค  จะฟ้องใครให้รับผิดชดใช้เงินกู้ครั้งนี้ระหว่าง  ก  และ  ข

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  823  ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี  หรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน  ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ  หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ 

(1)  การกู้ยืมเงินเกินกว่า  2,000  บาทขึ้นไปนั้น  บทบัญญัติมาตรา  653  วรรคแรก  บังคับว่า  ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้  เมื่อกฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญากู้จึงต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ก  มอบหมายให้  ข  ไปกู้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  เช่นนี้  ข  ย่อมไม่มีสิทธิลงชื่อในสัญญากู้เงินนั้น  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา  798  วรรคสอง  ดังนั้นการที่  ข  ลงชื่อไปก็เท่ากับว่า  ข  ลงชื่อโดยปราศจากอำนาจตามมาตรา  823  วรรคแรก

(2)  เมื่อการตั้งตัวแทนฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย  จึงมีผลเท่ากับว่าไม่มีการมอบหมายหรือตั้งตัวแทนให้ไปทำสัญญากู้ยืม  การที่  ข  ไปกู้ยืมเงิน  ค  สัญญากู้ยืมนั้นย่อมไม่ผูกพัน  ก  ตัวการแต่อย่างใด  เพราะเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น  แต่อย่างไรก็ตามกรณีนี้ถ้า  ก  ตัวการให้สัตยาบัน  สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวก็อาจผูกพัน  ก  ได้ตามมาตรา  823  วรรคแรกตอนท้าย  แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า  ก  ให้สัตยาบันแก่การกู้ยืมเงินนั้น  ข  จึงต้องรับผิดต่อ  ค  บุคคลภายนอกโดยลำพังตนเองตามมาตรา  823  วรรคท้าย  แม้สัญญากู้ยืมจะระบุว่าเป็นการที่  ข  กู้แทน  ก  ก็ตาม

(3) เมื่อสัญญากู้ยืมไม่ผูกพัน  ก  และ  ข  ต้องรับผิดโดยลำพังแล้ว  ค  จึงมีสิทธิฟ้องเรียกให้  ข  รับผิดชดใช้เงินตามสัญญากู้ได้คนเดียวเท่านั้น  กรณีนี้ถือว่า  ข  อยู่ในฐานะคู่สัญญากู้ยืมเงินตามมาตรา  653  วรรคแรกโดยตรง

สรุป

(1)  ข.  ไม่มีสิทธิลงชื่อในสัญญากู้  ถ้าลงไปก็เป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ

(2) การกระทำของ  ข  ไม่ผูกพันตัวการ  ค  ฟ้อง  ก  รับผิดไม่ได้

(3)   ค  ฟ้อง  ข  ให้รับผิดได้คนเดียวเท่านั้น

 

ข้อ  2  นายแดงเป็นเจ้าของกิจการเปิดร้านซื้อและขายรถยนต์ประเภทที่ใช้แล้วอยู่แถวถนนรัชดา  นายดำต้องการซื้อรถยนต์ใช้แล้วหนึ่งคันในราคาไม่เกิน  300,000  บาท  จึงได้ตกลงรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ที่ต้องการซื้อกับนายแดง  และได้ตกลงกันว่าถ้าซื้อรถยนต์ได้แล้วจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายแดงเป็นจำนวนเงิน  20,000  บาท ต่อมานายแดงได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์ตามที่นายดำต้องการจากนายเขียวหนึ่งคันในราคา  290,000  บาท และนายเขียวได้นำรถยนต์มาส่งมอบให้แก่นายดำในวันที่  3  กันยายน  2552  แต่นายดำไม่ยอมชำระเงินค่ารถยนต์ให้แก่นายเขียว  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายเขียวจะฟ้องนายแดงตัวแทนค้าต่างหรือฟ้องนายดำให้รับผิดในเงินจำนวนดังกล่าว  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  837  ในการที่ตัวแทนค้าต่างทำการขายหรือซื้อหรือจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น  ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น  และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทำการขาย  ทำการซื้อ  ทำกิจการค้าขายอย่างอื่นแทนตัวการตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว  ตัวแทนค้าต่างกับบุคคลภายนอกที่เป็นคู่สัญญาย่อมมีความผูกพันกันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญานั้นจนกว่าจะได้มีการปฏิบัติตามสัญญาครบถ้วนแล้ว ดังนั้นหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างตัวแทนค้าต่างกับบุคคลภายนอกที่เป็นคู่สัญญา  ตัวแทนค้าต่างกับบุคคลภายนอกต้องว่ากล่าวกันเอง  โดยที่

(ก)    ถ้าบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ปฏิบัติผิดสัญญา  ตัวแทนค้าต่างย่อมฟ้องร้องบุคคลภายนอกได้

(ข)   ถ้าตัวแทนค้าต่างไม่ปฏิบัติตามสัญญา  บุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องร้องบังคับตัวแทนค้าต่างได้

ทั้งนี้เพราะบุคคลภายนอกกับตัวแทนค้าต่างเป็นคู่สัญญากันโดยตรง  หากบุคคลภายนอกซึ่งเป็นคู่สัญญาทราบว่าตัวแทนค้าต่างได้กระทำกิจการนั้นแทนตัวการแล้ว  บุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิฟ้องร้องเรียกบังคับตัวการได้  และเป็นผลให้ตัวแทนค้าต่างที่ทำสัญญากับบุคคลภายนอกนั้นหลุดพ้นจากความรับผิดทันที  หรือจะฟ้องบังคับได้ทั้งตัวการและตัวแทนค้าต่างได้ในคดีเดียวกัน

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อนายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างของนายดำได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์จากนายเขียวในนามของตนเองแทนนายดำตัวการ นายแดงตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิและหน้าที่ในฐานะคู่สัญญาและย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อนายเขียวคู่สัญญานั้นด้วย  ตามมาตรา  837

ดังนั้น  เมื่อนายดำตัวการไม่ยอมชำระค่ารถยนต์จำนวน  290,000  บาทให้แก่นายเขียวบุคคลภายนอก  นายเขียวย่อมฟ้องร้องนายแดงตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาให้ต้องรับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวได้

สรุป  นายเขียวมีสิทธิฟ้องนายแดงตัวแทนค้าต่างให้รับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  นายเอกต้องการจะขายที่ดินของตนหนึ่งแปลงที่จังหวัดปทุมธานี  จึงได้บอกกับนายโทน้องชายว่า  ถ้าขายได้จะนำเงินไปซื้อตึกแถวหนึ่งห้องเพื่อให้คนเช่า  หลังจากนั้นนายเอกได้นำป้ายไปติดประกาศขายพร้อมทั้งเบอร์โทรศัพท์ในที่ดินแปลงดังกล่าว  ส่วนนายโทไม่ทราบว่านายเอกไปติดประกาศขายแต่อยากให้พี่ชายขายที่ดินได้จึงไปตกลงกับนายตรีให้เป็นนายหน้าหาคนมาซื้อที่ดิน  ถ้าขายได้จะให้ค่าบำเหน็จ  3  หมื่นบาท  ต่อมานายตรีได้จัดการพานายแก้วไปพบนายเอก  นายแก้วได้ตกลงซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวในราคา  4  ล้านบาท  และทั้งสองได้ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินเรียบร้อยแล้ว  นายตรีจึงไปขอค่าบำเหน็จ  3  หมื่นบาทจากนายเอก  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายเอกจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวนดังกล่าวให้แก่นายตรีหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง  หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า  ผู้นั้นย่อมทำให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จเท่านั้น  ถ้าไม่มีการตกลงกันหรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน  ก็ไม่จำต้องให้ค่าบำเหน็จนายหน้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  นายหน้าที่จะได้รับบำเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา  845  หรือมีสัญญาต่อกันโดยปริยายตามมาตรา  846  ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว  เรียกร้องเอาค่าบำเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น  หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่  ฉะนั้น  ไม่ว่าบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  จะหาประโยชน์จากการเป็นนายหน้าเป็นปกติธุระหรือไม่ก็ตาม  หากต้องการประโยชน์คือบำเหน็จค่านายหน้าจากผู้ใดจะต้องมีสัญญากับผู้นั้นโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย  จะกระทำไปฝ่ายเดียวโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้ตกลงรับรู้ด้วยอย่างใดแล้วมาอ้างว่าเป็นนายหน้าเรียกร้องเอาบำเหน็จย่อมไม่ได้อยู่เอง

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายเอกจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวน  3  หมื่นบาทให้แก่นายตรีหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายโทตกลงให้นายตรีเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายเอกพี่ชายโดยนายเอกไม่ได้มอบหมาย  จึงเป็นเพียงข้อตกลงระหว่างนายโทกับนายตรี  นายตรีจึงไม่ใช่นายหน้าของนายเอก  ทั้งสองจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน  ดังนั้นแม้นายตรีจะจัดการพานายแก้วไปพบนายเอกและได้ทำสัญญาซื้อขายจนสำเร็จ  แต่เมื่อนายตรีไม่ใช่บุคคลที่นายเอกตั้งให้เป็นนายหน้าแล้ว  นายตรีย่อมไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จจากนายเอก  กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  นายเอกจึงไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวนดังกล่าวให้แก่นายตรี  (ฎ. 724/2540)

สรุป  นายเอกไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จจำนวนดังกล่าวให้แก่นายตรี

Advertisement