การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

Advertisement

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก.  กู้เงิน  ข  100,000  บาท  โดยมิได้มีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือ  แต่มี  ค  ทำหนังสือสัญญากับ  ข  ในฐานะผู้ค้ำประกัน  ดังนี้  ข จะฟ้องใครให้รับผิดในหนี้รายนี้ได้บ้าง  และเพราะเหตุใด  (ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบด้วย)

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา 681  วรรคแรก  อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

มาตรา  694  นอกจากข้อต่อสู้ซึ่งผู้ค้ำประกันมีต่อเจ้าหนี้นั้น  ท่านว่าผู้ค้ำประกันยังอาจยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วย

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การกู้ยืมเงินกันกว่า  2,000  บาทขึ้นไป  ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้ยืม  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีตามสัญญากู้ยืมไม่ได้ตามมาตรา  653  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ก  กู้ยืมเงิน  ข  โดยมิได้มีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือ  ข  เจ้าหนี้จึงฟ้องให้  ก  รับผิดใช้เงินตามสัญญากู้ไม่ได้ตามมาตรา  653  วรรคแรก

ส่วนสัญญาค้ำประกันนั้นเป็นสัญญาไม่มีแบบ  คือ  กฎหมายมิได้บังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ  แต่การจะฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาค้ำประกันได้  กฎหมายบังคับว่าจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญเช่นเดียวกัน  มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้ตามมาตรา  680  วรรคสอง

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ค  ผู้ค้ำประกันได้ทำสัญญาค้ำประกันเป็นหนังสือ  จึงถือว่าสัญญาค้ำประกันในหนี้รายนี้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญแล้ว  จึงใช้ฟ้องร้องบังคับคดีต่อกันได้ตามมาตรา  680  วรรคสอง  แม้ว่าสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นหนี้ประธานจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายไม่ได้ก็ตาม  เพราะหนี้ประธานและหนี้อุปกรณ์เป็นคนละสัญญาแยกจากกันต่างหาก  ทั้งกรณีนี้ก็ได้มีการส่งมอบเงินกู้แก่กันแล้ว  ย่อมถือได้ว่าหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานสมบูรณ์ตามกฎหมาย  แต่ขาดเพียงหลักฐานการฟ้องร้องเท่านั้น  จึงมีการค้ำประกันกันได้ตามมาตรา  681  วรรคแรก

อย่างไรก็ตาม  เมื่อหนี้ตามสัญญาค้ำประกันเกิดขึ้นโดยอาศัยมูลหนี้ประธาน  ผู้ค้ำประกันจึงสามารถยกเหตุที่หนี้ประธานไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายไม่ได้  ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิด  ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ตามมาตรา  694  ดังนั้นผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิด

สรุป  ข  ไม่สามารถเรียกใช้  ก  รับผิดตามสัญญากู้ยืมและไม่อาจเรียกให้  ค  รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้

 

ข้อ  2  นาย  ก  กู้เงินนาย  ข  เป็นจำนวน  100,000  บาท  ต่อมามีนายควายนำที่ดินราคา  50,000  บาท  มาจำนองประกันหนี้รายนี้ในวันที่  1  มกราคม  2552  และนายวัวนำที่ดินราคา  30,000  บาท  มาประกันหนี้รายนี้  วันที่  2  กุมภาพันธ์  2552  ในการนี้  นายวัวและนายควายตกลงกับนาย  ข  เจ้าหนี้ว่า  หากต้องการจะบังคับจำนองให้บังคับเอากับที่ดินของนายวัวก่อน  ต่อมานาย  ข  เจ้าหนี้  ได้ประทับใจในความดีของนายควาย  จึงปลดจำนองให้นายควาย  ดังนี้  การปลดจำนองนายควายมีผลดีกับนายวัวหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนอง  เป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  709  บุคคลคนหนึ่งจะจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ก็ให้ทำได้

มาตรา  710  ทรัพย์สินหลายสิ่งมีเจ้าของคนเดียวหรือหลายคนจะจำนองเพื่อประกันการชำระหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียว  ท่านก็ให้ทำได้

และในการนี้คู่สัญญาจะตกลงกันดังต่อไปนี้ก็ได้  คือว่า

(1) ให้ผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองตามลำดับอันระบุไว้

มาตรา  726  เมื่อบุคคลหลายคนต่างได้จำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียวอันบุคคลอื่นจะต้องชำระและได้ระบุลำดับด้วยไซร้  ท่านว่าการที่ผู้รับจำนองยอมปลดหนี้ให้แก่ผู้จำนองคนหนึ่งนั้นย่อมทำให้ผู้จำนองคนหลังๆได้หลุดพ้นด้วยเพียงขนาดที่เขาต้องรับความเสียหายแต่การนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การจำนองของนายวัวและนายควายเป็นการจำนองทรัพย์สินของตนเพื่อประกันหนี้เงินกู้ยืมซึ่งนาย  ก  บุคคลอื่นจะต้องชำระ  ย่อมทำได้ตามมาตรา  702  ประกอบมาตรา  709  ซึ่งหนี้รายเดียวกันนี้เองก็สามารถจำนองทรัพย์สินหลายสิ่งเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ได้ตามมาตรา  710  วรรคแรก

เมื่อได้มีการระบุตามข้อตกลงระหว่างเจ้าหนี้กับผู้จำนองไว้ด้วยว่าให้นายวัวต้องเป็นผู้ถูกบังคับจำนองก่อนตามมาตรา  710  วรรคสอง  (1)  จึงต้องเป็นไปตามนั้น

สำหรับในเรื่องการปลดหนี้จำนองนั้น  หลักกฎหมายตามมาตรา  726  กำหนดให้ผู้รับจำนองหลุดพ้นจากความรับผิดได้หากเข้าหลักเกณฑ์ดังนี้  คือ

1       มีผู้จำนองหลายคนจำนองประกันหนี้รายเดียว

2       มีการระบุลำดับการบังคับจำนองไว้ตามมาตรา  710  วรรคสอง  (1)

3       ผู้รับจำนองปลดจำนองรายหนึ่งรายใดในลำดับก่อน

4       ผู้จำนองลำดับถัดไปเสียหายจากการปลดจำนอง

เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า  นาย  ข  เจ้าหนี้  ปลดจำนองให้แก่นายควายซึ่งจะต้องเป็นผู้ถูกบังคับจำนองในลำดับหลังสุด  การปลดจำนองดังกล่าวจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ  แก่นายวัว  เพราะถึงอย่างไรก็ตาม  นายวัวก็ต้องถูกบังคับจำนองในลำดับแรกอยู่ดี  ดังนั้นนายวัวยังคงต้องรับผิดในหนี้จำนองจำนวน  50,000  บาท  กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา  726

สรุป  การปลดจำนองให้แก่นายควายไม่มีประโยชน์ใดๆกับนายวัวผู้ถูกบังคับจำนองคนก่อน

 

ข้อ  3  นายสินกู้เงินนายมั่น  จำนวน  80,000  บาท  โดยมีหลักฐานการกู้ถูกต้องตามกฎหมาย  ขณะเดียวกัน  นายมั่นต้องการความแน่นอนในการชำระหนี้  จึงขอให้นายสินหาหลักประกันมาวางไว้ด้วย  นายสินจึงนำสร้อยคอทองคำหนัก  5  บาท  ซึ่งเป็นของภริยา  โดยแจ้งให้นายมั่นทราบว่าสร้อยคอทองคำเป็นของภริยามิใช่ของตนเองวางไว้เป็นหลักประกันในลักษณะจำนำ  แต่มิได้มีการทำหลักฐานอย่างใด  เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายสินหาเงินมาชำระหนี้เงินกู้ไม่ได้  มั่นเห็นว่าราคาทองคำกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ  จึงแจ้งให้นายสินชำระหนี้โดยทำจดหมายบอกกล่าวและขอนำสร้อยคอทองคำขายให้แก่นายรุ่ง  เพราะนายรุ่งเป็นคนมีฐานะดี  และกำลังอยากซื้อสร้อยคอทองคำคงจะให้ราคาดีมาก  อยากทราบว่า

(1) นายสินนำสร้อยคอของภริยามาจำนำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(2) นายมั่นนำสร้อยคอทองคำขายให้แก่นายรุ่งได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น   คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนำ  ส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

วินิจฉัย

(1) การทำสัญญาจำนำนั้น  บทบัญญัติมาตรา  747  กำหนดแต่เพียงว่าต้องมีการส่งมอบสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการจำนำ  มิได้กำหนดให้ต้องมีการทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างอื่นแต่อย่างใด  ดังนั้นสัญญาจำนำจึงสมบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบสังหาริมทรัพย์ที่จำนำ  (ฎ. 1451/2503)

สำหรับทรัพย์ที่จำนำนั้น  กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นการที่ลูกหนี้นำทรัพย์สินมาจำนำประกันหนี้ของตนเองเท่านั้น  บุคคลภายนอกอาจจำนำทรัพย์สินของตนเพื่อประกันหนี้ที่บุคคลอื่นจะต้องชำระก็ได้  เพราะกฎหมายมิได้ห้ามบุคคลภายนอกมิให้จำนำทรัพย์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ของบุคคลอื่น  แต่ประการสำคัญคือ  ผู้จำนำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์เท่านั้น  ถ้าเอาทรัพย์ของคนอื่นมาจำนำ  เจ้าของทรัพย์มีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา  1336

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสินลูกหนี้นำสังหาริมทรัพย์ของภริยามาจำนำ  สามารถกระทำได้  สัญญาจำนำมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา  747 เพราะมีการส่งมอบสร้อยคอทองคำแก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนำแล้ว  ส่วนการที่สัญญาจำนำจะผูกพันภริยาของนายสินหรือไม่  เป็นอีกเรื่องซึ่งต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงว่านายสินลักสร้อยคอทองคำของภริยามาจำนำหรือไม่  หรือภริยารู้เห็นในการเอามาจำนำหรือประมาทเลินเล่อปล่อยให้นายสินแสดงตัวเป็นเจ้าของหรือมีพฤติกรรมที่ภริยาเชิดนายสินเหมือนดั่งเป็นตัวแทนของตนหรือไม่  ถ้าภริยาไม่ยินยอมหรือไม่รู้เห็นด้วย  ภริยามีสิทธิติดตามเอาสร้อยคอทองคำคืนตามมาตรา  1336  ถือว่าสัญญาจำนำไม่ผูกพันภริยา  แต่ถ้าภริยามีพฤติการณ์ดังกล่าวนั้น  ภริยาจะเรียกสร้อยคอทองคำคืนโดยไม่ไถ่ถอนจำนำไม่ได้  (ฎ. 631/2503 , ฎ. 449/2516  และ 

ฎ .1115/2497)

(2) การบังคับจำนำนั้น  บทบัญญัติมาตรา  764  กำหนดให้มีการบอกกล่าวเป็นหนังสือให้ลูกหนี้ชำระหนี้และสามารถนำทรัพย์ที่รับจำนำนั้นออกขายได้  แต่ต้องขายทอดตลาด  กรณีนี้นายมั่นได้บอกกล่าวการชำระหนี้ถูกต้องตามมาตรา  764  แต่การนำทรัพย์ที่จำนำออกขายให้แก่บุคคลโดยเฉพาะเจาะจง  มิใช่การขายทอดตลาด  จึงไม่ต้องด้วยหลักกฎหมายดังกล่าว  นายมั่นจึงนำสร้อยคอทองคำขายให้นายรุ่งไม่ได้

สรุป

(1) นายสินนำสร้อยคอทองคำของภริยามาจำนำโดยวางไว้กับนายมั่นได้โดยไม่จำต้องมีการทำหลักฐานอย่างอื่น

(2) นายมั่นจะนำสร้อยคอทองคำขายให้นายรุ่งมิได้  เพราะมิใช่การขายทอดตลาด 

Advertisement