การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009 

Advertisement

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายแดง  อายุ  50  ปี  เกษียณอายุราชการแล้วมีเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้เหลืออยู่  500,000  บาท  ต่อมานายหนึ่งหลานชายได้มาขอยืมเงินนายแดงไป  100,000  บาท  เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมร้านอาหารโดยไม่ได้ทำหลักฐานหรือสัญญาใดต่อกันเลย  มีแต่นางสองหลานอีกคนหนึ่งเท่านั้น  ที่อยู่ด้วยในตนส่งมอบเงิน  ต่อมานายแดงและนายหนึ่งทะเลาะเบาะแว้งมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงจนถึงขั้นจะลงมือทำร้ายกันเพื่อนบ้านจึงไปแจ้งความ  เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาระงับเหตุการณ์และนำตัวทั้งสองไปสถานีตำรวจ  

หลังจากสอบสวนแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงบันทึกประจำวันว่า  นายแดงได้พูดทวงเงินที่ให้นายหนึ่งยืมไปจำนวน  100,000  บาท  เมื่อวันที่  1  มกราคม  2550  แต่นายหนึ่งพูดท้าทายว่า  อยากได้ก็ให้ไปฟ้องเอา  นายแดงโกรธจึงตั้งท่าจะทำร้ายร่างกายนายหนึ่งแต่ยังไม่ทันลงมือ  หากนายหนึ่งสัญญาว่าจะทยอยใช้หนี้  นายแดงก็จะไม่คิดทำร้ายนายหนึ่งอีก  และให้นายแดงลงชื่อในบันทึกประจำวันนั้น  จากข้อเท็จจริงข้างต้น  หากว่าต่อมานายแดงได้มาปรึกษาทนายความขอให้ฟ้องเรียกเงินกู้  100,000  บาทจากนายหนึ่ง  สมมุติว่านักศึกษาเป็นทนายความจงให้คำปรึกษาแก่นายแดง

ธงคำตอบ

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม  เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

การที่นายแดงให้นายหนึ่งกู้ยืมเงินโดยมิได้มีหลักฐานใดๆ  แม้จะมีคนรู้เห็นขณะให้กู้ยืม (นางสอง)  แต่เรื่องการกู้ยืมเงินเกินกว่า  2,000 บาทนั้น  มาตรา  653  มีหลักกฎหมายว่าต้องมีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญจึงจะสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้  ทำให้นายแดงไม่สามารถนำนางสองซึ่งเป็นพยานบุคคลเข้านำสืบแทนหลักฐานการกู้ยืมที่ทำเป็นหนังสือได้

การที่ข้อเท็จจริงได้มีการลงบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวนมีใจความว่า  นายหนึ่งกู้เงินนายแดงจำนวน  100,000  บาท  และนายหนึ่งไม่ได้ปฏิเสธกลับท้าทายให้นายแดงไปฟ้องหากอยากได้คืน  ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นหนี้จากการกู้ยืมจำนวน  100,000  บาทจริง  แต่เฉพาะนายแดงผู้ให้กู้คนเดียวที่ลงลายมือชื่อในบันทึกประจำวัน  จึงไม่เป็นไปตามที่มาตรา  653  บัญญัติไว้  กล่าวคือ  ขาดการลงลายมือชื่อผู้กู้ยืมนั่นเอง

ถ้านักศึกษาเป็นทนายความต้องให้คำปรึกษานายแดงว่า  ไม่สามารถฟ้องคดีเรียกเงินกู้รายนี้ได้  เพราะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืม

สรุป  นายแดงไม่สามารถฟ้องเรียกเงินกู้จากนายหนึ่งได้

 

ข้อ  2  นายเด่นกู้เงินนายดอกรัก  500,000  บาท  โดยทำสัญญากู้ยืมเงินลงลายมือชื่อของผู้กู้และผู้ให้กู้และต่างเก็บสัญญาไว้เป็นหลักฐานคนละฉบับ  โดยในสัญญาระบุว่าถ้านายเด่นไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา  นายเด่นจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงหนึ่งให้นายดอกรักแทน  เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้  นายเด่นไม่มีเงินมาชำระ  นายดอกรักจึงทวงสัญญาที่นายเด่นจะโอนที่ดินแก่ตน  แต่เนื่องจากในวันชำระหนี้ที่ดินแปลงที่ตกลงกันมีราคาสูงถึง  1,000,000  บาท  นายดอกรักไม่สนใจราคาที่ดินว่าจะขึ้นไปเป็นราคาเท่าใด  เร่งบอกให้นายเด่นโอนที่ดินเป็นการชำระหนี้โดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้  ตั้งแต่วันทำสัญญากู้แล้วต้องปฏิบัติตาม  ดังนี้  นายเด่นจะต้องปฏิบัติตามสัญญาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  656  ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน  และผู้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจำนวนเงินนั้นไซร้  ท่านให้คิดเป็นหนี้เงินค้างชำระโยจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ  ณ  สถานที่ส่งมอบ

ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกันและผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมไซร้  หนี้อันระงับไปเพราะการชำระเช่นนั้น  ท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ  สถานที่ส่งมอบ

ความตกลงกันอย่างใดๆ  ขัดกับข้อความดังกล่าวมานี้  ท่านว่าเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

การที่นายเด่นกู้ยืมเงิน  500,000  บาท  จากนายดอกรัก  โดยทำสัญญากู้ยืมเงินและลงลายมือชื่อผู้กู้และผู้ให้กู้ด้วย  จึงถือได้ว่าเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินที่สมบูรณ์ตามมาตรา  653  วรรคแรกแล้ว  แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้มีการทำข้อตกลงล่วงหน้าว่า  ถ้านายเด่นไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา  จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงหนึ่งให้นายดอกรักแทนหนี้เงินกู้  500,000  บาท  กรณีจึงเป็นไปตามมาตรา  656  วรรคสอง  กล่าวคือ  ถ้าผู้ให้ยืมยอมตกลงรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินกู้ยืม  กฎหมายให้ถือว่า  การชำระหนี้เป็นจำนวนเท่าราคาสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นนั้น  โดยคิดราคาตามราคาท้องตลาดในวันเวลาและสถานที่ที่ชำระหนี้เป็นเกณฑ์  ซึ่งหากมีการตกลงกันผิดจากหลักเกณฑ์ดังกล่าว  ข้อตกลงนั้นให้ตกเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  656  วรรคท้าย

ดังนั้นจากข้อเท็จจริงข้างต้น  ที่ดินแปลงที่ตกลงกันในวันชำระหนี้มีราคาสูงถึง  1,000,000  บาท  หากจะบังคับให้โอนที่ดินเป็นการชำระหนี้ก็ต้องถือตามราคาตลาด  คือ  1,000,000  บาท  ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าเงินกู้มาก  ข้อตกลงระหว่างนายเด่นและนายดอกรักที่ให้ถือว่าที่ดินแปลงนี้เท่ากับเงินกู้  500,000  บาท  โดยมิได้คำนึงถึงราคาตามท้องตลาดในเวลาชำระหนี้  จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา  656  วรรคสอง และตกเป็นโมฆะตามมาตรา  656  วรรคท้าย  นายดอกรักผู้ให้กู้จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้บังคับนายเด่นผู้กู้โอนที่ดินให้แก่ตนตามข้อตกลงได้  เพราะหากมีการนำที่ดินแปลดังกล่าวชำระหนี้แทนแล้ว  ก็นับว่านายดอกรักได้รับประโยชน์จากที่ดินส่วนที่เกินไปจากจำนวนที่กู้ยืมเงินกันจริงถึง  500,000  บาท  นายเด่นจึงเป็นผู้เสียประโยชน์ต้องชำระหนี้มากกว่าที่เป็นหนี้ตามสัญญา  กฎหมายจึงให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะ

อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นโมฆะ  นายเด่นไม่ต้องโอนที่ดินเป็นการชำระหนี้แต่ยังถือว่าสัญญากู้ยืมเงินยังคงสมบูรณ์มีผลบังคับใช้อยู่เพราะยังไม่มีการชำระหนี้  หนี้ยังไม่ระงับ  นายเด่นจึงต้องผูกพันตามสัญญากู้ยืมเงินต่อไปจนกว่าจะชำระหนี้  (เทียบฎีกา 1683/2493)

สรุป  นายเด่นไม่ต้องโอนที่ดินเป็นการชำระหนี้  แต่ต้องชำระหนี้เงินกู้  500,000  บาท

 

ข้อ  3  เอกได้ฝากทองรูปพรรณหนัก  10  บาท  ไว้กับโท  โดยให้โทมอบทองคำนี้แก่บุตรของเอกเมื่อเอกตายและขอให้โทอุปการะบุตรของเอก  ดูแลอบรมสั่งสอนให้การศึกษาโดยฝากให้อาศัยอยู่กับโทที่บ้านของโท  โทรับฝากทองรูปพรรณของเอกไว้และอุปการะบุตรของเอกมารวม  4  ปี  จึงเรียนจบการศึกษาและขออนุญาตแต่งงานมีเหย้ามีเรือน  ในวันแต่งงานโทบอกเอกว่าตนจะมอบทองรูปพรรณหนัก  10 บาท  ให้บุตรของเอกไปและเอกก็มิได้คัดค้าน  ต่อมาบุตรของเอกแต่งงานไปแล้วไม่เคยกลับมาเยี่ยมเอกและโทอีกเลย  เอกจึงโทษว่าเป็นเพราะโทมอบทองคำที่ตนฝากไว้ไปก่อนเวลาอันสมควรไม่ปฏิบัติตามที่สั่งไว้คือให้มอบแก่บุตรเมื่อตนถึงแก่ความตาย  ขอให้โทนำทองคำมาคืนแก่เอก  ดังนี้  ถ้าท่านเป็นโทท่านจะมีข้อต่อสู้ทางกฎหมายย่างไร  เพื่อไม่ต้องตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา  ขอให้ท่านอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  660  ถ้าผู้ฝากมิได้อนุญาต  และผู้รับฝากเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นออกมาใช้สอยเองหรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาไซร้  ท่านว่าผู้รับฝากจะต้องรับผิดเมื่อทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นสูญหายหรือบุบสลายอย่างหนึ่งอย่างใด  แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นมีปัญหาว่า  นายเอกผู้ฝากอนุญาตให้นายโทผู้รับฝากเอาทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นให้บุตรของนายเอกซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเก็บรักษาไว้หรือไม่  ถ้าอนุญาตแล้วโดยผลแห่งบทบัญญัติดังกล่าว  นายโทหาต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายแห่งทรัพย์สินซึ่งฝากไว้อย่างใดไม่

ข้อเท็จจริงปรากฏว่า  เมื่อบุตรของนายเอกเรียนจบการศึกษาและแต่งงานมีเหย้ามีเรือน  ในวันแต่งงานโทได้มอบทองรูปพรรณแก้บุตรของเอก  นายเอกรู้เห็นดีมิได้คัดค้านประการใด  แสดงว่านายเอกอนุญาตโดยปริยายให้นายโทเอาทองรูปพรรณหนัก  10  บาท  ซึ่งฝากนั้นให้บุตรของนายเอกเก็บรักษาไว้  ซึ่งตามมาตรา  660  นี้  ก็มิได้ระบุว่าการอนุญาตนั้นจะต้องอนุญาตโดยชัดแจ้งอย่างใด  ย่อมหมายความว่าอนุญาตกันโดยปริยายก็ได้  และเมื่อผู้ฝากอนุญาตแล้ว  นายโทผู้รับฝากจึงไม่ต้องรับผิดนำทรัพย์มาคืนนายเอก  นายโทสามารถยกเป็นข้อต่อสู้นายเอกได้

สรุป  นายโทไม่ต้องรับผิดนำทรัพย์มาคืนนายเอก  เพราะถือว่านายเอกอนุญาตแล้ว

Advertisement