การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายดำไปเที่ยวทะเลเห็นที่ดินริมทะเลของนายแดงประกาศขาย  นายดำจึงได้ติดต่อนายแดงเจรจาขอซื้อ  นายแดงตกลงขายให้ในราคาสามล้านบาท  เมื่อตกลงแล้วนายดำได้ชำระราคาล่วงหน้าให้นายแดงไว้ก่อนหนึ่งแสนบาท

นายแดงก็ได้เขียนใบรับเงินค่าซื้อขายที่ดินแปลงนั้นให้นายดำไว้ส่วนหนังสือสัญญาซื้อขายทั้งคู่นัดกันอีกสองอาทิตย์  จะทำในวันที่ไปดำเนินการทางโอนจดทะเบียน  เนื่องจากนายดำจะต้องรีบกลับกรุงเทพฯ  ในเย็นวันนั้น

ต่อมาเมื่อถึงวันนัดทำสัญญาและโอนทะเบียนนายดำไปหานายแดงที่บ้านเพื่อจะรับนายแดงไปที่สำนักงานที่ดินด้วยกันจะดำเนินการจดทะเบียนโอนให้เรียบร้อย  แต่นายแดงกลับไม่ยอมโอนที่ดินแปลงนี้ให้นายดำ  ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินแปลงนี้กับนายดำแต่อย่างใด

นายดำจะฟ้องร้องบังคับให้นายแดงไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และสัญญาซื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน

 ธงคำตอบ

มาตรา  456  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  หรือได้วางประจำไว้  หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท  หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  456  วรรคแรก

แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์  ตามมาตรา  456  วรรคสองนั้น  จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด  หรือวางมัดจำ  หรือชำระหนี้บางส่วน  จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

หลักเกณฑ์การพิจารณา  ต้องดูว่าคู่กรณีมีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลังหรือไม่  ถ้าไม่มีเจตนาดังกล่าวก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  สัญญาซื้อขายก็ตกเป็นโมฆะ  คู่สัญญาจะฟ้องร้องให้บังคับตามสัญญาดังกล่าวไม่ได้  แต่ถ้าคู่กรณีมีเจตนาจะไปทำหนังสือและจดทะเบียนกันในภายหลังก็เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย  ผู้ซื้อสามารถฟ้องบังคับให้ผู้จะขายไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนได้

กรณีตามอุทาหรณ์  นายแดงตกลงขายที่ดินริมทะเลให้ในราคาสามล้านบาท  เมื่อตกลงแล้วนายดำได้ชำระราคาล่วงหน้าให้นายแดงไว้ก่อนหนึ่งแสนบาท  นายแดงก็ได้เขียนใบรับเงินค่าซื้อขายที่ดินแปลงนั้นให้นายดำไว้  ส่วนหนังสือสัญญาซื้อขายทั้งคู่นัดกันอีกสองอาทิตย์  จะทำในวันที่ไปดำเนินการทางโอนจดทะเบียน  เนื่องจากนายดำจะต้องรีบกลับกรุงเทพฯ  ในเย็นวันนั้น  ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย  เพราะคู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโอนไปในขณะทำสัญญาซื้อขายแต่มีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลัง

ส่วนประเด็นที่ว่าจะฟ้องบังคับให้นายแดงไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่  เห็นว่า  กรณีดังกล่าวนั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว  ทั้งมีใบรับเงินค่าซื้อขายที่ดินแปลงนั้นเป็นหลักฐานที่เป็นหนังสือ  จึงใช้ฟ้องร้องให้บังคับคดีได้  ดังนั้นเมื่อนายแดงผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนที่ดินแปลงนั้นให้นายดำ  และปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินนี้กับนายดำแต่อย่างใด  นายดำจึงฟ้องร้องให้นายแดงไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้  ตามมาตรา  456  วรรคสอง

สรุป  นายดำจะฟ้องร้องบังคับให้นายแดงไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้  ตามมาตรา  456  วรรคสอง  สัญญาซื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย

 

ข้อ  2  นายพันซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายเครื่องไฟฟ้าแห่งหนึ่ง  เมื่อปีใหม่ร้านของนายพันจัดเทศกาลลดราคาประจำปี  นายพูนได้ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องหนึ่งจากร้านของนายพันในเทศกาลปีใหม่นั้น  จากราคาป้ายของใหม่หนึ่งหมื่นบาทในเทศกาลนี้ร้านจะลดให้เหลือเพียงแปดพันบาท

เมื่อคนงานของนายพันนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องนั้นมาส่งที่บ้าน  นายพูนพบว่ามีรอยขีดข่วนอยู่ภายนอกและยังพบรอยบุบสองแห่งสภาพก็ดูเก่าเก็บเหมือนเอาเครื่องที่มีตำหนิมาขาย  แต่ระบบของเครื่องก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ  นายพูนจึงไม่ยอมรับนั้นและต้องการให้นายพันนำเครื่องใหม่มาให้ตน

แต่นายพันปฏิเสธนายพูนจะเรียกให้นายพันรับผิดและส่งมอบเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องใหม่ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา  473  ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ  และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขาย  ตามมาตรา  472  นั้น  ผู้ขายต้องรับผิด  ถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเหตุขึ้น  ดังนี้

1       เสื่อมราคา

2       เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ

3       เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งหมายโดยสัญญา

ความชำรุดบกพร่องที่ผู้ขายต้องรับผิดนั้นต้องมีอยู่ก่อนหรือขณะทำสัญญาซื้อขายหรือในเวลาส่งมอบทรัพย์สินที่ขายโดยผู้ซื้อไม่รู้ (ฎ. 459/2514)  เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นความรับผิดของผู้ขาย  ตามมาตรา  473

กรณีตามอุทาหรณ์  ความชำรุดบกพร่องดังกล่าวนายพูนผู้ซื้อพบเห็นเมื่อคนงานของนายพันนำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาส่งที่บ้าน  ซึ่งมีรอยบุบสองแห่ง  สภาพดูเก่าเหมือนเอาเครื่องที่มีตำหนิมาขาย  แม้ระบบของเครื่องจะยังสามารถใช้งานได้ตามปกติก็ตาม  นายพันผู้ขายก็ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องดังกล่าว  ตามมาตรา  472  วรรคแรก  เพราะความชำรุดบกพร่องดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาส่งมอบทรัพย์สินที่ขายโดยผู้ซื้อไม่รู้ว่ามีความชำรุดบกพร่องดังกล่าวในเวลาซื้อขาย  หรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชนเป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติหรือที่มุ่งหมายโดยสัญญา  แม้ผู้ขายจะรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่  ตามมาตรา  472  วรรคท้าย  ทั้งไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดของผู้ขายตามมาตรา  473  แต่อย่างใด

สรุป  นายพูนสามารถเรียกให้นายพันรับผิด  และส่งมอบเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องใหม่ได้  ตามมาตรา  472

 

ข้อ  3  นายไก่นำบ้านและที่ดินไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  1  ปี ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีกสิบห้าเปอร์เซ็นต่อปี  หลังจากขายฝากไปได้  6  เดือน  นายไก่ได้โทรศัพท์มาขอขยายระยะเวลาในการไถ่ถอนออกไปเป็น  2  ปี

นายไข่ไม่ตอบตกลงในทันทีแต่ขอเวลาไตร่ตรองสักระยะหนึ่งก่อน  ต่อมาอีกหนึ่งอาทิตย์นายไก่ก็ได้รับจดหมายจากนายไข่ตอบตกลงให้ขยายระยะเวลาในการไถ่เป็น  2  ปี  ตามคำขอ  เมื่อใกล้จะครบกำหนด  2  ปี  นายไก่ได้ไปขอใช้สิทธิในการไถ่  พร้อมนำเงิน  1  ล้าน  1  แสน  5  หมื่นบาท  นายไข่ปฏิเสธไม่ยอมให้ไถ่โดยอ้างว่า (1)  กำหนดระยะเวลาตามสัญญาคือ  1  ปี  ได้สิ้นสุดลงแล้ว  และ  (2)  ถ้าว่ามีการซื้อขายเป็น  2  ปีจริง  สินไถ่ก็ไม่ครบ

(1) ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้หรือไม่  และ

(2) นายไก่จะฟ้องให้นายไข่ยอมให้ตนไถ่คืนเพราะมีการตกลงขยายระยะเวลาแล้วได้หรือไม่  และนายไก่จะต้องปฏิบัติอย่างไร  จึงจะได้ไถ่บ้านและที่ดินของตนคืน

ธงคำตอบ

มาตรา  492  ในกรณีที่มีการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด  หรือผู้ไถ่ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์สินที่ได้วางไว้  ให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่  แล้วแต่กรณี

มาตรา  494  ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์  กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา  496  กำหนดเวลาไถ่นั้น  อาจทำสัญญาขยายกำหนดเวลาไถ่ได้  แต่กำหนดเวลาไถ่รวมกันทั้งหมด  ถ้าเกินกำหนดเวลาตามมาตรา  494  ให้ลดลงมาเป็นเวลาตามมาตรา  494

การขยายกำหนดเวลาไถ่ตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับไถ่ถ้าเป็นทรัพย์สินซึ่งการซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ห้ามมิให้ยกการขยายเวลาขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต  และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว  เว้นแต่จะได้นำหนังสือหรือหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวไปจดทะเบียนหรือจดแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

มาตรา  497  สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น  จะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้  คือ

(1) ผู้ขายเดิม  หรือทายาทของผู้ขายเดิม  หรือ

มาตรา  498  สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น  จะพึงใช้ได้เฉพาะบุคคลเหล่านี้  คือ

(1) ผู้ขายเดิม  หรือทายาทของผู้ขายเดิม  หรือ

มาตรา  499  สินไถ่นั้น  ถ้าไม่ได้กำหนดกันว่าเท่าใดไซร้  ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย 

การขยายกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์ที่ขายฝาก  คู่สัญญาอาจตกลงกันก่อนถึงกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากคืนได้  แต่ทั้งนี้กำหนดเวลาไถ่รวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินสิบปี  ถ้าเกินกำหนดสิบปี  ให้ใช้บังคับได้เพียงสิบปีเท่านั้น  ตามมาตรา  494 (1)  และมาตรา  496  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  ข้ออ้างของนายไข่ที่ว่ากำหนดระยะเวลาไถ่ตามสัญญาคือ  1  ปีได้สิ้นสุดแล้ว รับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  หลังจากนายไก่จดทะเบียนขายฝากไปได้  6  เดือน  นายไก่ได้โทรศัพท์มาขอขยายระยะเวลาในการไถ่ออกเป็น  2  ปี  และนายไข่ก็ตอบจดหมายตกลงให้ขยายระยะเวลาไถ่ได้  ดังนี้จะเห็นว่านายไก่และนายไข่คู่สัญญาได้ตกลงขยายกำหนดเวลาไถ่ก่อนกำหนดเวลาไถ่เดิมโดยขยายเวลาไถ่ไปอีก  1  ปี  รวมเป็น  2  ปี  ซึ่งไม่เกิน  10  ปี  ตามมาตรา  494  (1)  ทั้งนี้มีจดหมายของนายไข่เป็นหลักฐานที่เป็นหนังสือชื่อนายไข่ผู้รับไถ่  การขยายกำหนดเวลาไถ่เป็น  2  ปี  จึงใช้บังคับตามกฎหมายได้  ตามมาตรา  496  ข้ออ้างของนายไข่ในประเด็นนี้จึงรับฟังไม่ได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ข้ออ้างของนายไข่ที่ว่าถ้ามีการขยายเวลาไถ่เป็น  2  ปีจริง  สนไถ่ก็ไม่ครบ  รับฟังได้หรือไม่  ข้อเท็จจริงมีว่า  นายไก่จดทะเบียนขายฝากบ้านและที่ดินในราคา  1  ล้านบาทมีกำหนดเวลาไถ่คืนภายใน  1  ปี  ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีกร้อยละ  15  ต่อปี  ซึ่งไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา  499  วรรคสอง  ดังนั้นหากนายไก่ต้องการไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากภายใน  1  ปี  นายไก่จะต้องนำเงินสินไถ่มาไถ่ทรัพย์คืน  1,150,000  บาท  อย่างไรก็ดีเมื่อมีการขยายระยะเวลาในการไถ่เป็น  2  ปี  และการขยายเวลาไถ่ดังกล่าวใช้บังคับตามกฎหมายได้  หากนายไก่ต้องการไถ่ทรัพย์คืนต้องนำประโยชน์ตอบแทนอีกร้อยละ  15  ต่อปี  มาไถ่คืน  ดังนั้นนายไก่ต้องนำสินไถ่รวมทั้งสิ้น  1,300,000  บาท  มาไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากคืน  หากไม่ครบ  นายไข่มีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมให้ไถ่ทรัพย์คืนได้  ข้ออ้างในประเด็นดังกล่าวจึงรับฟังได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  นายไก่จะฟ้องให้นายไข่ยอมให้ตนไถ่คืนเพราะมีการตกลงขยายเวลาไถ่แล้วได้หรือไม่  เห็นว่า เมื่อผู้ขายฝากได้ใช้สิทธิไถ่โดยชอบแล้ว  ผู้ซื้อฝากต้องรับการไถ่  ถ้าผู้ซื้อฝากไม่ยอมให้ไถ่ถอน  หรือไม่ยอมรับสินไถ่  ผู้ขายฝากมีสิทธิฟ้องร้องให้ผู้ซื้อฝากจดทะเบียนไถ่การขายฝากโอนที่ดินคืนให้ผู้ขายฝากได้  และถือว่าเป็นการใช้สิทธิไถ่โดยชอบแล้ว  แต่กรณีตามอุทาหรณ์  นายไก่ได้ไปขอใช้สิทธิในการไถ่พร้อมนำเงิน  1,150,000  [ท  มาขอไถ่  ดังนี้แม้นายไก่ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา  497 (1)  จะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์คืนต่อนายไข่ผู้รับไถ่ตามมาตรา  498  (1)  ภายในกำหนดเวลาไถ่ที่ขยายเป็น  2  ปีก็ตาม  แต่สินไถ่ที่นำมาไถ่คืนนั้นไม่ครบตามจำนวนที่ตกลงกันไว้  คือ  1,300,000  บาท  ถือว่ายังไม่เป็นการใช้สิทธิไถ่ทรัพย์โดยชอบ  จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้นายไข่ยอมให้ตนไถ่ทรัพย์คืนได้  (ฏ. 407/2540)

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า  นายไก่จะต้องปฏิบัติอย่างไร  จึงจะได้ไถ่บ้านและที่ดินของตนคืน  เห็นว่า  นายไก่จะต้องนำสินไถ่  1,300,000  บาท  ไปแสดงเจตนาขอไถ่ทรัพย์คืนต่อนายไข่ผู้รับไถ่  ตามมาตรา  498  (1)  ภายในกำหนดเวลา  2  ปี  นับแต่เวลาขายฝาก  จึงจะเป็นการใช้สิทธิไถ่โดยชอบ  อย่างไรก็ตามหากนายไข่ผู้รับไถ่ไม่ยอมให้ไถ่ถอนหรือไม่ยอมรับสินไถ่  นายไก่ผู้ไถ่ก็มีสิทธิที่จะวางสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่ได้วางไว้  ในกรณีเช่นนี้ให้ทรัพย์สินที่ขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่  แล้วแต่กรณี

สรุป

1)    ข้ออ้างของนายไข่ที่ว่ากำหนดระยะเวลาตามสัญญาคือ  1  ปีนั้นสิ้นสุดลงแล้วรับฟังไม่ได้  แต่ข้ออ้างว่าสินไถ่ไม่ครบรับฟังได้

2)    นายไก่ไม่สามารถฟ้องให้นายไข่ยอมให้ตนไถ่ทรัพย์คืนเพราะมีการขยายระยะเวลาไถ่คืนได้และนายไก่ต้องนำสินไถ่  1,300,000  [ท  ไปขอไถ่กับนายไข่ภายในกำหนดเวลาไถ่  หรือวางสินไถ่  ณ  สำนักงานวางทรัพย์

Advertisement