การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงโครงสร้างของประเทศ  ระบบการปกครอง  และการจัดตั้งสถาบันการปกครองหลักของประเทศสหรัฐอเมริกามาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

ประเทศสหรัฐอเมริกา  ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น  ที่เรียกว่า  สหพันธรัฐ  หรือเรียกสั้นๆว่า  สหรัฐ  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก  รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ  ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน  โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า  รัฐธรรมนูญใหม่  หรือ  รัฐธรรมนูญกลาง

ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  มี  2  ประการ  คือ

1       ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

2       มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  กล่าวคือ  เป็นอิสระจากกัน  ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน  ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร  สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน

การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา  มีดังนี้

ก  สถาบันประมุขแห่งรัฐ

สถาบันประมุขแห่งรัฐ  ได้แก่  ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อม  กล่าวคือ  ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ   ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  และสามารถดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้ไม่เกิน  2  สมัย  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

ข.  สถาบันนิติบัญญัติ  (สภาคองเกรส)

รัฐสภาอเมริกัน  เรียกว่า  สภาคองเกรส (congress)  ประกอบด้วย  2  สภา คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  แบบเสียงข้างมากรอบเดียว  มีวาระในการดำรงตำแหน่ง  2  ปี  มีจำนวนทั้งสิ้น  435  คน  รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน  ดี.ซี.  อีก  3  คน  ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด  438 คน  ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรไม่มีอำนาจในการยื่นญัตติเพื่ออภิปรายและลงมติไม่ไว้วางใจทั้งตัวประธานาธิบดีและบรรดารัฐมนตรีทั้งหลาย  ในขณะเดียวกันประธานาธิบดีก็ไม่มีอำนาจยุบสภา

2  สภาสูงหรือวุฒิสภา  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  2  คนต่อ  1  มลรัฐ  รวมทั้งสิ้นจำนวน  100 คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  6  ปี  แต่สมาชิก  1  ใน  3  ของทั้งหมดจะต้องถูกจับสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ  2  ปี  ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ค  สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา

ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล  และเป็นผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีทั้งหลายด้วยความเห็นชอบของวุฒิสภา

ง  สถาบันตุลาการ  (ศาลยุติธรรมสูงสุด)

ศาลสูงสุดของอเมริกา  ประกอบด้วยผู้พิพากษาจำนวน  9  คน  มาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี  แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง  (หรือวุฒิสภา)

 

ข้อ  2  ให้อธิบายถึงระบบการปกครองของประเทศอังกฤษ  พร้อมทั้งอธิบายถึงวิธีการจัดตั้งสถาบันบริหารของประเทศดังกล่าวในปัจจุบันมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

1       ระบบการปกครองของประเทศอังกฤษ

รูปแบบการปกครองของประเทศอังกฤษในปัจจุบัน  เป็นรูปแบบการปกครองระบบรัฐสภาแบบสองพรรคการเมือง  (พรรคอนุรักษนิยมและพรรคกรรมกร)  ซึ่งเป็นระบบที่มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ  มีการกำหนดมาตรการในการโต้ตอบ  ล้มล้างซึ่งกันและกัน  เช่น  การขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติ  และการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งการจัดรูปองค์กรการปกครองของอังกฤษไม่ได้มีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร  เพราะอังกฤษใช้รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี

2       สถาบันของฝ่ายบริหาร  (รัฐบาล) ของประเทศอังกฤษ

การจัดรูปองค์กรของฝ่ายบริหารของอังกฤษนั้นเป็นแบบฝ่ายบริหารที่แบ่งเป็นสององค์กร  คือ  มีการแยกองค์กรประมุขของรัฐซึ่งก็คือกษัตริย์  กับองค์กรที่เป็นฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล  ซึ่งประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี  มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าออกจากกัน  ในขอบเขตอำนาจฝ่ายบริหารนั้น  รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจเหล่านี้โดยคณะรัฐมนตรีผู้ที่จะรับผิดชอบต่อรัฐสภา  ซึ่งมีทั้งความรับผิดชอบร่วมกันทั้งคณะและความรับผิดชอบในส่วนของกระทรวง  ทบวง  กรมต่างๆ  แต่ละคนด้วย  แม้ว่ากษัตริย์ทรงมีฐานะอยู่ในส่วนของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติด้วยก็ตาม  แต่ก็จะเป็นเพียงฐานะอย่างเป็นทางการ  ไม่ได้ทรงใช้อำนาจอย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง

การจัดตั้งฝ่ายบริหารของประเทศอังกฤษนั้น  เริ่มจากการที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารโดยจารีตประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติ  จากหัวหน้าพรรคการเมืองที่พรรคนั้นชนะการเลือกตั้งและมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง  จากนั้นนายกรัฐมนตรีก็จะจัดตั้งรัฐบาลโดยคัดเลือกจากบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคเดียวกับตนและบางส่วนจากสมาชิกวุฒิสภา  แล้วนำคณะรัฐบาลไปแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอความไว้วางใจก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่

ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวง  ก็มักจะได้แก่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกจากนายกรัฐมนตรี  แต่วุฒิสภาบางท่านก็อาจได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน  หากว่าวุฒิสมาชิกท่านนั้นมี

ความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง  หรือมีความจำเป็นทางการเมืองที่จะต้องมีวุฒิสมาชิกมาเป็นรัฐมนตรีด้วย

 

ข้อ  3  จงอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

–                     องค์ประกอบของรัฐสภา

–                    ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ

–                    การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจทั้งสาม

ธงคำตอบ

1       องค์ประกอบของรัฐสภา

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  (มาตรา  88)  รัฐสภาประกอบไปด้วยสองสภาคือ  สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

สภาผู้แทนราษฎรจะประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  500  คน  (มาตรา  93  วรรคแรก)

วุฒิสภาจะประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  150  คน  (มาตรา  111  วรรคแรก)

2       ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ

อำนาจนิติบัญญัติ  มีรัฐสภาเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ  ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎร  และวุฒิสภา

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้  คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)

สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  ประกอบด้วยสมาชิก  500  คน  โดยเป็นสมาชิก

–                     มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  375  คน

–                    มาจากการเลือกตั้งแบบ บัญชีรายชื่อ  125  คน

(1) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ  1  คน

การคำนวณเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก  1  คน  ให้คำนวณจากราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง  (หาร)  ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  375  คน                                              

จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี  ให้นำจำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ที่คำนวณได้นั้นมาเฉลี่ยจำนวนราษฎรในจังหวัดนั้น  ถ้าจังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ก็ให้มีสมาชิกฯได้  1  คน  จังหวัดใดมีราษฎรเกินเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ให้มีสมาชิกฯในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีก  1  คน  ทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน

จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้ไม่เกิน  1  คน  ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  และจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้เกิน  1  คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งมีจำนวนเท่าจำนวนสมาชิกฯที่พึงมี  โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกฯ  1  คน  (มาตรา  94)

(2) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ  ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น  โดยให้เลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว  และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง  (มาตรา 95)

บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา  95  ให้พรรคการเมืองจัดทำขึ้นพรรคการเมืองละหนึ่งบัญชีไม่เกินบัญชีละ  125  คน  และให้ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเปิดสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  (มาตรา  96)

การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง  ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศแล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น  โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้  เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น  ทั้งนี้  ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  (มาตรา  98)

2       วุฒิสภา  (ส.ว.)

วุฒิสภา  (ส.ว.)  ประกอบด้วยสมาชิก  150  คน  ซึ่งมาจาก

–                     การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด  จังหวัดละ  1  คน  รวม  76  คน

–                    การสรรหา  รวม  74  คน

การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา

ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา

การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา

ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง  ประกอบด้วย

(1)  ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

(2) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(3) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน

(4) ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

(5) ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(6) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย  1  คน

(7) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย  1  คน

หมายเหตุ

ปัจจุบันประเทศไทยเมื่อนับรวมกรุงเทพมหานครด้วยจะมี  77  จังหวัด  ดังนั้นในการเลือกตั้งและสรรหาวุฒิสภาครั้งต่อไป    จำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง  จังหวัดละ  1  คน  จึงมี  77  คน  ส่วนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาจะมี  73  คน

3  การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจทั้งสาม

1       อำนาจนิติบัญญัติ  อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายตุลาการ  เช่น  ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นฝ่ายบัญญัติกฎหมาย  ถ้ามีการบัญญัติกฎหมายออกมาแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ก็จะต้องมีการตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการ  คือ  ศาลรัฐธรรมนูญ  และอาจจะถูกควบคุมโดยฝ่ายบริหาร  เช่น  การที่ฝ่ายบริหารไม่เสนอกฎหมายให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา  หรือเสนอกฎหมายไปแล้วแต่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ให้ความเห็นชอบ  ฝ่ายบริหารก็สามารถยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ได้

2       อำนาจบริหาร  อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ  เช่น  การไม่ให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา  การควบคุมตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร  เช่น  การตั้งกระทู้ถาม  การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ การตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร  เป็นต้น

3       อำนาจตุลาการ  การใช้อำนาจตุลาการนั้น  อาจถูกควบคุมหรือถ่วงดุลได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ  เช่น  ฝ่ายนิติบัญญัติ  ได้บัญญัติกฎหมายให้ฝ่ายตุลาการหรือศาลใช้อำนาจตามกฎหมายได้เพียงเท่าที่กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติได้บัญญัติไว้เท่านั้น  และในบางกรณีกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติก็เป็นกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าฝ่ายบริหารได้เข้ามาควบคุมถ่วงดุลการใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการนั่นเอง  แต่อย่างไรก็ตาม  ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะไม่มีอำนาจในการตรวจสอบอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีของฝ่ายตุลาการ

 

ข้อ  4  ตามที่รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  มาตรา  72  บัญญัติให้  “บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง”  แต่ปรากฏว่าในการเลือกตั้ง  ส.ส.  ครั้งที่ผ่านมา  นายแดงหัวหน้าพรรคไทสันติและกรรมการบริหารพรรคฯ  ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งในครั้งนั้น  จึงต่อต้านโดยการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  เมื่อมีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร  พ.ศ.2554  และกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่  3  กรกฎาคม  2554  พรรคไทยสันติได้ประกาศนโยบายไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งในครั้งนี้  เพราะแม้มีการเลือกตั้งก็จะได้นักการเมืองกลุ่มเดิมกลับมา ซึ่งไม่ก่อผลเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแต่อย่างใด  ถือเป็นการหลอกเอาประชาชนเป็นเครื่องมือในทางการเมือง  จึงได้ติดประกาศ  แจกแผ่นปลิว  และให้สมาชิกพรรคฯ  ปราศรัยในที่สาธารณะเรียกร้องให้ประชาชนร่วมสนับสนุนนโยบายของพรรคฯ  โดยการร่วมมือกันไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งฯ  ที่จะถึงนี้  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของนายแดงและกรรมการบริหารพรรคฯ  ที่ไม่ได้ไปทำหน้าที่ใช้สิทธิเลือกตั้ง และการกระทำของพรรคไทสันติที่มีนโยบายและรณรงค์เรียกร้องให้ประชาชนร่วมมือกันไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  หรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ  ในกรณีหนึ่งกรณีใด  หรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  2  ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา  28  วรรคแรก  บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น  ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ  หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน

มาตรา  45  วรรคแรก  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น  การพูด  การเขียน  การพิมพ์  การโฆษณา  และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น

มาตรา  65  วรรคแรกและวรรคสอง  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนและเพื่อดำเนินกิจกรรมในทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้น  ตามวิถีทางการปกครองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

การจัดองค์กรภายใน  การดำเนินกิจการ  และข้อบังคับของพรรคการเมือง  ต้องสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา  72  วรรคแรก  บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่  2  ประเด็น  คือ

ประเด็นที่  1  การกระทำของนายแดงและกรรมการบริหารพรรคฯ  ที่ไม่ได้ไปทำหน้าที่ใช้สิทธิเลือกตั้ง  เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  กรณีที่นายแดงหัวหน้าพรรคไทสันติและกรรมการบริหารพรรคฯไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง  ส.ส.  ในครั้งที่ผ่านมาจึงต่อต้านโดยการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่  3  กรกฎาคม  2554  นั้น  จะเห็นได้ว่า  แม้รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  มาตรา  72  จะบัญญัติให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของบุคคลก็ตาม  การกระทำของนายแดงและกรรมการบริหารพรรคฯ  ที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งดังกล่าว  ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยการใช้สิทธิที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา  28  วรรคแรก  แต่อย่างใด

ประเด็นที่  2  การกระทำของพรรคไทสันติที่มีนโยบายและรณรงค์เรียกร้องให้ประชาชนร่วมมือกันไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

โดยทั่วไปการที่บุคคลได้ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น  และเผยแพร่ความเห็นอันหนึ่งอันใดของตนต่อสาธารณะย่อมสามารถที่จะกระทำได้  (ตามมาตรา  45  วรรคแรก)  แต่การที่พรรคไทสันติได้กระทำการโดยการติดประกาศ  แจกแผ่นปลิว  และให้สมาชิกพรรคฯ ปราศรัยในที่สาธารณะเรียกร้องให้ประชาชนร่วมสนับสนุนนโยบายของพรรคฯ  โดยการร่วมมือกันไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งนั้น  การเรียกร้องมิให้บุคคลไปใช้สิทธิเลือกตั้งของพรรคไทสันติ  ถือว่าเป็นการดำเนินการทางการเมืองของพรรคการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  (ตามมาตรา  2  วรรคแรกประกอบกับมาตรา  65  วรรคแรกและวรรคสอง)  ดังนั้นการกระทำของพรรคไทสันติที่เรียกร้องมิให้บุคคลไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  จึงเป็นการกระทำซึ่งเป็นการใช้เสรีภาพที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ  ตามมาตรา  28  วรรคแรก

สรุป  การกระทำของนายแดงและกรรมการบริหารพรรคฯ  ไม่ถือว่าเป็นการใช้สิทธิที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ  แต่การกระทำของพรรคไทสันติ  ถือว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ

Advertisement