การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงระบบการปกครอง  และวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดี  คณะรัฐมนตรี  และสมาชิกรัฐสภาของประเทศฝรั่งเศส

ธงคำตอบ

ระบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส  เป็นการปกครองในระบบกึ่งรัฐสภา  กึ่งประธานาธิบดี  เนื่องจากมีการนำเอาหลักการของระบบการปกครองทั้งระบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษ  และระบบประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกามาผสมผสานใช้ร่วมกัน  เช่น  หลักที่ประมุขของประเทศ  คือ  ประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร  แต่มีอำนาจในการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร  ในขณะที่คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร  ดังเช่นในระบบรัฐสภา

วิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศสนั้น  ประธานาธิบดีจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง  (โดยมีวาระ  5  ปี)  ด้วยเกณฑ์ของการนับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด  (คือเกินกึ่งหนึ่ง)  ถ้าไม่มีผู้ใดได้คะแนนตามเกณฑ์ดังกล่าว  ก็จะให้ผู้ที่ได้คะแนนในอันดับที่  1  และ  2  มาแข่งกันใหม่ในรอบที่สอง  ด้วยเกณฑ์ของคะแนนเสียงข้างมากธรรมดา  เมื่อได้ตัวประธานาธิบดีแล้ว  ประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี  จากหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง  แล้วมอบให้นายกรัฐมนตรีไปจัดตั้งคณะรัฐมนตรี  และคณะรัฐมนตรีจะต้องไปแถลงนโยบายขอความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่

สำหรับสมาชิกรัฐสภาของประเทศฝรั่งเศสนั้น  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีจำนวน  577  คน  มาจากการเลือกตั้งทั่วไปโดยตรงด้วยเกณฑ์ของคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด  ผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งในเขตเลือกตั้งนั้นๆ  ซึ่งมีทั้งหมด  577  เขต  (ซึ่งเป็นการเลือกตั้งระบบแบ่งเขต  เขตละหนึ่งคน)  ถ้าในเขตเลือกตั้งใดไม่มีผู้ใดได้รับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด  ก็จะต้องให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงอันดับที่  1  และที่  2  มาแข่งกันใหม่ในรอบที่สองด้วยเกณฑ์ของคะแนนเสียงข้างมากธรรมดา  และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีวาระในการดำรงตำแหน่ง  5  ปี

ส่วนสมาชิกวุฒิสภานั้นจะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อม  โดยคณะบุคคลที่ทำการเลือก  ได้แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  และสมาชิกสภาท้องถิ่นทั้งหลาย  โดยมีจำนวนทั้งสิ้น  321  คน  และมีวาระในการดำรงตำแหน่ง  9  ปี  และทุกๆ  3  ปี  จะมีการจับสลากออก  1  ใน  3  เพื่อเลือกตั้งใหม่ 

 

ข้อ  2  จงอธิบายถึงสาระสำคัญของ  “หลักการคุ้มครองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ”  (Vorrang  der  Verfassung) 

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญ  เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  ที่ได้บัญญัติกฎเกณฑ์การปกครองประเทศไว้  เช่น  การบัญญัติเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐ  การทำหน้าที่นิติบัญญัติ  หน้าที่บริหาร  หน้าที่ตุลาการ ฯลฯ  และเป็นกฎหมายที่ได้จัดทำขึ้นตามวิธีการที่กำหนดเป็นพิเศษแตกต่างจากกฎหมายธรรมดา

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  มีบทบัญญัติที่เป็นสาระสำคัญและถือว่าเป็นหลักการคุ้มครองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญไว้หลายมาตรา  เช่น

มาตรา  3  ได้บัญญัติว่า  อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุด  ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ  เป็นของปวงชนชาวไทย  พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา  คณะรัฐมนตรี  และศาล  ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

มาตรา  6  ได้บัญญัติว่า  รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย  กฎ  หรือข้อบังคับ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้  บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา  69  ได้บัญญัติว่า  บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ  ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา  211  ได้บัญญัติว่า  ในกรณีที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเอง  หรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  (ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ)  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย

มาตรา  245(1)  ได้บัญญัติไว้ว่า  ถ้าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่อง  พร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญและให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า

มาตรา  291  ซึ่งได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้  ทำให้เห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็นกฎหมายที่แก้ไขได้ยาก  เช่น  ถ้าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

(1)    ญัตติขอแก้ไขต้องมาจากคณะรัฐมนตรี  หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา  มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  หรือของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้วแต่กรณี  หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน  และถ้าญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ  ก็จะเสนอมิได้

(2)    ญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไข  และให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ  คือ  วาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ  วาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา  และวาระที่สามเป็นการลงคะแนนให้ความเห็นชอบ  ซึ่งต้องได้คะแนนมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(3)   เมื่อได้ลงมติให้ความเห็นชอบแล้ว  ก็จะต้องนำร่างรัฐธรรมนูญนั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย  เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย

 

ข้อ  3   นางทองและพวกรวม  20  คน  ได้ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเพื่อขอจัดตั้ง  “พรรคมิตรสตรี”  โดยมีนโยบายหลักของพรรคคือการเรียกร้องและสนับสนุนให้มีการคุ้มครองสิทธิสตรีมากกว่าชาย  ปรากฏว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้ปฏิเสธการรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรค

โดยแจ้งเป็นหนังสือแก่นางทองและพวกว่าเนื่องจากนโยบายของพรรคมีการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ  และไม่สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของบุคคล  ซึ่งบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  มาตรา  30  นั้นบัญญัติให้  “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย  ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน”

ดังนี้  ท่านเห็นว่าการปฏิเสธของนายทะเบียนพรรคการเมืองชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่  และหากนางทองและพวกเห็นว่าการปฏิเสธดังกล่าวของนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  นางทองและพวกจะใช้สิทธิในทางศาลต่อศาลใดได้บ้างหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  28  วรรคสอง  บุคคลย่อมสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในหมวดนี้ได้โดยตรง  หากการใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องใดมีกฎหมายบัญญัติรายละเอียดแห่งการใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้แล้ว  ให้การใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา  65  วรรคหนึ่งและวรรคสอง  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมือง  เพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนและเพื่อดำเนินกิจกรรมในทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้น  ตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

การจัดองค์กรภายใน  การดำเนินกิจการ  และข้อบังคับของพรรคการเมือง  ต้องสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  พ.ศ.2550  มาตรา  13  วรรคท้าย  ผู้ยื่นจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองซึ่งไม่เห็นด้วยกับคำสั่งไม่รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองของนายทะเบียน  อาจยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งตามวรรคสามต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งดังกล่าว

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงประกอบกับหลักกฎหมายดังกล่าวแล้ว  วินิจฉัยได้  ดังนี้  คือ

ประเด็นที่  1  การที่นางทองและพวกได้ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้ง  “พรรคมิตรสตรี”  นั้น  ย่อมสามารถที่จะกระทำได้ตามมาตรา  65  วรรคหนึ่ง  ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมตัวจัดตั้งพรรคการเมือง

และในการขอจัดตั้งพรรคการเมืองของนางทองและพวกโดยมีนโยบายหลักของพรรคคือ  การเรียกร้องและสนับสนุนให้มีการคุ้มครองสิทธิสตรีมากกว่าชายนั้น  การใช้เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคมิตรสตรีของนางทองและพวก  รวมทั้งนโยบายของพรรคในกรณีดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญฯตามมาตรา  28  วรรคแรก  และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่อย่างใด  เป็นเพียงการเสนอแนวคิดความเห็นเชิงนโยบายของพรรคเท่านั้น  ดังนั้นการที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ปฏิเสธการรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคของนางทองและพวกจึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่  2  เมื่อการกระทำของนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมืองของนางทองและพวกตามมาตรา  65  วรรคหนึ่ง  นางทองและพวกจึงสามารถใช้สิทธิในทางศาลได้ตามมาตรา  28  วรรคสอง  ประกอบด้วย  พ.ร.บ.  ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ  มาตรา  13  วรรคท้าย  โดยให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน  30  วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าวจากนายทะเบียนพรรคการเมือง

สรุป  การปฏิเสธของนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  และนางทองและพวกสามารถใช้สิทธิในทางศาลต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ 

 

ข้อ  4  ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย  ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า  นายสมใจเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง  ต่อมามีบุคคลได้ร้องเรียนว่า  นายสมใจได้ทุจริตซื้อเสียงโดยได้จ่ายเงินจำนวน  1  แสนบาท  ให้แก่นายแดงกำนันตำบลห้วยใสเพื่อไปซื้อเสียงกับประชาชนในตำบล  ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทำการสอบสวนและได้ตัดพยานบุคคลที่นายสมใจอ้างมาทั้งหมด  โดยวินิจฉัยว่า  นายสมใจได้ทุจริตในการเลือกตั้งจริง  จึงให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งและให้มีการเลือกตั้งใหม่  นายสมใจเห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะได้ตัดพยานของตนออกไปทั้งหมด  และยังไม่ได้เรียกนายแดงพยานสำคัญมาสอบสวนแต่อย่างใด  ซึ่งเป็นพยานที่มีผลต่อการวินิจฉัยในเรื่องนี้  ดังนั้นหากนายสมใจประสงค์ที่จะใช้สิทธิในทางศาล  เพื่อที่จะขอให้ศาลสั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสอบสวนในเรื่องนี้ใหม่  และให้เรียกนายแดงพยานสำคัญเข้ามาทำการสอบสวนด้วย  ดังนี้  นายสมใจจะใช้สิทธิในทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่  และศาลใดจะมีอำนาจรับเรื่องไว้พิจารณา

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  239  วรรคหนึ่งและวรรคท้าย  ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งก่อนการประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา  ให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นที่สุด

ให้นำความในวรรคหนึ่ง  วรรคสอง  และวรรคสาม  มาใช้บังคับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นด้วยโดยอนุโลม

วินิจฉัย

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  และหลักกฎหมายมาตรา  239  แห่งรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวข้างต้น  จะเห็นได้ว่า  ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยให้มีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและให้มีการเลือกตั้งใหม่ก่อนการประกาศผลเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น  ให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นที่สุด

ดังนั้น  การที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทำการสอบสวนนายสมใจ  กรณีที่นายสมใจได้กระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง  และได้วินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสมใจ  และให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น  คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งย่อมเป็นที่สุด  นายสมใจไม่อาจฟ้องเป็นคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้

สรุป  คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นที่สุด  นายสมใจจะใช้สิทธิในทางศาลใดๆไม่ได้

Advertisement