การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003

Advertisement

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  วันเกิดเหตุ  จำเลยเห็นคนตาบอดกำลังจะข้ามถนน  จำเลยจึงเข้าไปจูงมือคนตาบอด  หลังจากจูงมาได้ครึ่งทาง  จำเลยปล่อยคนตาบอดไว้แล้วจำเลยข้ามไปคนเดียว  ปรากฏว่านายแดงขับรถยนต์วิ่งมาชนคนตาบอดได้รับบาดเจ็บ  ข้อเท็จจริงได้ความว่า  ถนนบริเวณจุดเกิดเหตุมีรถวิ่งผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก  
ดังนี้  จำเลยจะต้องรับผิดในทางละเมิดต่อคนตาบอดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ของการกระทำอันเป็นการละเมิดตามมาตรา  420  ประกอบด้วย

1       เป็นบุคคลที่มี  การกระทำ  โดยรู้สำนึก  และได้กระทำโดยการเคลื่อนไหวร่างกายหรือโดยการงดเว้นก็ได้  ซึ่งได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2       ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย

3       มีความเสียหายต่อชีวิต  ร่างกาย  อนามัย  เสรีภาพ  ทรัพย์สิน  หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด

4       ผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำ

ดังนั้นในเบื้องต้น  จึงต้องพิจารณาก่อนว่าผู้ทำละเมิดมีการกระทำหรือไม่  หากบุคคลไม่มีการกระทำ  ก็ไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  สำหรับการกระทำนั้น  หมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้จิตใจบังคับหรือทำโดยรู้สำนึก  นอกจากนี้การกระทำยังหมายความรวมถึงการงดเว้นการเคลื่อนไหวอันพึงต้องทำเพื่อป้องกันมิให้ผลเกิดขึ้นด้วย  ในส่วนของการงดเว้นอันจะถือว่าเป็นการกระทำตามกฎหมายนั้น หมายถึงการงดเว้นการกระทำตามหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันมิให้ผลนั้นเกิดขึ้นเท่านั้น  หากบุคคลนั้นไม่มีหน้าที่  การงดเว้นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  จำเลยจะต้องรับผิดในทางละเมิดต่อคนตาบอดหรือไม่  เห็นว่า  การที่จำเลยเห็นคนตาบอดกำลังจะข้ามถนน  จำเลยจึงเข้าไปจูงมือคนตาบอด  หลังจากจูงมาได้ครึ่งทาง  จำเลยปล่อยคนตาบอดไว้แล้วจำเลยข้ามไปคนเดียว  การงดเว้นในกรณีดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำ  เพราะเป็นการงดเว้นในกรณีที่มีหน้าที่ตามความสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นก่อนแล้ว  กล่าวคือ  เมื่อจำเลยจูงมือคนตาบอดข้ามถนนไปได้ครึ่งทาง  จำเลยย่อมมีหน้าที่ช่วยคนตาบอดให้ข้ามถนนโดยตลอดรอดฝั่ง  เมื่อจำเลยงดเว้นจึงถือว่าเป็นการกระทำ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ถนนบริเวณจุดเกิดเหตุมีรถวิ่งผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก  การที่จำเลยปล่อยคนตาบอดไว้  จำเลยย่อมรู้ถึงความเสียหายที่จะเกิดแก่คนตาบอด  การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยจงใจ  ขณะเดียวกันเป็นการกระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  เมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่คนตาบอด  และความเสียหายดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับการกระทำ  การกระทำของจำเลยจึงเป็นละเมิดตามมาตรา  420

สรุป  จำเลยจะต้องรับผิดในทางละเมิดต่อคนตาบอด

 

 

ข้อ  2  นายแดงเป็นนายจ้าง  นาย  ก  เป็นลูกจ้าง  นายแดงใช้ให้นาย  ก  ขับรถจากกรุงเทพฯ  ไปส่งของที่จังหวัดนครราชสีมา  นาย  ก ปฏิบัติตามคำสั่งโดยขับรถไปส่งของที่จังหวัดนครราชสีมาเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ  ขณะที่ขับมาถึงจังหวัดสระบุรี  นายหนึ่งว่าจ้างให้นาย  ก  ขับรถไปขนมันสำปะหลังโดยจะให้ค่าตอบแทน  5,000  บาท  ระหว่างที่นาย  ก  ขับรถไปขนมันสำปะหลัง  นาย  ก  ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อไปชนนายขาวได้รับบาดเจ็บ

ดังนี้นายขาวจะฟ้องใครให้รับผิดในทางละเมิดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  428  ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้างเว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ  หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  ขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อไปชนนายขาวได้รับบาดเจ็บ  เป็นการกระทำที่ครบหลักเกณฑ์ของการกระทำละเมิด  กล่าวคือ  มีการกระทำโดยประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ให้เขาเสียหายแก่ร่างกาย  และการกระทำของนาย  ก  ก็มีความสัมพันธ์กับผลของการกระทำ  นาย  ก  จึงต้องรับผิดในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  ตามมาตรา  420

สำหรับนายแดง  ซึ่งเป็นนายจ้างจะต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของนาย  ก  ลูกจ้างหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างตามมาตรา  425  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้  คือ

1       ลูกจ้างกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่น

2       ลูกจ้างกระทำละเมิดในระหว่างที่เป็นลูกจ้าง

3       ลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง

ประเด็นจึงมีว่า  การที่นาย  ก  ขับรถไปขนมันสำปะหลังตามที่นายหนึ่งว่าจ้างแล้วไปชนนายขาวได้รับบาดเจ็บ  เป็นการกระทำละเมิดในทางการที่จ้างที่นายแดงซึ่งเป็นนายจ้างจะต้องร่วมรับผิดหรือไม่  กรณีนี้เป็นการกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง  เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นาย  ก  ขับรถไปส่งของที่จังหวัดนครราชสีมาเสร็จเรียบร้อยก็เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร  ขณะที่ขับมาถึงสระบุรี  นายหนึ่งว่าจ้างให้นาย  ก  ขับรถไปขนมันสำปะหลังแล้วจึงเกิดเหตุขึ้น  จึงถือว่าขณะเกิดเหตุละเมิด  ยังอยู่ในระหว่างที่นาย  ก  ปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของนายแดงผู้เป็นนายจ้างอยู่  คือ  กลับจากไปส่งของแล้วเดินทางกลับกรุงเทพฯ  การที่นาย  ก  ฝ่าฝืนคำสั่งนายจ้างแต่ยังปฏิบัติงานของนายจ้างอยู่  นายจ้างจะอ้างเป็นเหตุไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกไม่ได้  นายแดงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่นาย  ก  กระทำไปในทางการที่จ้างในฐานะนายจ้าง  เทียบฎีกาที่  2789/2515

ส่วนนายหนึ่งผู้ว่าจ้าง  เมื่อไม่ปรากฏว่าเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ  หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้  หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง  จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับนาย  ก  ตามมาตรา  428 

สรุป  นายขาวสามารถเรียกให้นาย  ก  รับผิดตามมาตรา  420  และเรียกให้นายแดงร่วมรับผิดกับนาย  ก  ตามมาตรา  425  แต่จะเรียกให้นายหนึ่งรับผิดตามมาตรา  428  ไม่ได้ 

 

 

ข้อ  3  นาย  ก  และนาง  ข  อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส  มีบุตรคนหนึ่งคือเด็กชายแดง  เมื่อนาง  ข  คลอดเด็กชายแดงแล้ว  ต่อมาถึงแก่ความตาย  นาย  ก  ได้อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายแดงตลอดมา  นาย  ก  ยินยอมให้เด็กชายแดงใช้นามสกุลของนาย  ก  นาย  ก ส่งเสียเด็กชายแดงให้เรียนหนังสือ  วันเกิดเหตุนายโหดขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย  ก  ถึงแก่ความตาย  ดังนี้  

(1) เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าปลงศพจากนายโหดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(2) เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากนายโหดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  443  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่  ค่าปลงศพ  รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล  รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้  ท่านว่า  บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายโหดขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย  ก  ถึงแก่ความตาย  การกระทำของนายโหดเป็นละเมิด  ตามมาตรา  420  เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ซึ่งทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิต  และการกระทำของนายโหดสัมพันธ์กับผลของการกระทำ  คือ  ความตายของนาย  ก  นายโหดจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นาย  ก  และนาง  ข  อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส  มีบุตรด้วยกันคือเด็กชายแดง  ซึ่งนาย  ก  ได้อุปการะเลี้ยงดูตลอดมา  โดยยินยอมให้เด็กชายแดงใช้นามสกุลและส่งเสียให้เรียนหนังสือ  กรณีนี้ถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วโดยพฤติการณ์ตามมาตรา  1627  ส่งผลให้เด็กชายแดงเป็นผู้สืบสันดานที่กฎหมายรับรองและคุ้มครอง  และเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่  1 ตามมาตรา  1629(1)

(1) เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าปลงศพจากนายโหดได้หรือไม่  เห็นว่า  สิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าปลงศพตามมาตรา  443  วรรคแรก  เป็นสิทธิของผู้ที่เป็นทายาทจะเรียกร้องเอาแก่ผู้ที่กระทำละเมิดทำให้เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย  เมื่อเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกซึ่งเป็นบิดารับรองแล้ว  จึงเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกตามมาตรา  1627  มีสิทธิฟ้องเรียกค่าปลงศพจากนายโหดผู้กระทำละเมิด  ทำให้นาย  ก  ถึงแก่ความตายได้  เทียบฎีกาที่ 1202/2549  และฎีกาที่  3208/2538

(2) เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากนายโหดได้หรือไม่  เห็นว่า  บทบัญญัติมาตรา  443  วรรคท้ายนั้น  กำหนดไว้โดยเฉพาะว่าผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิด  จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือผู้กระทำละเมิดในกรณีทำให้เขาถึงตายต้องรับผิดต่อบุคคลที่ต้องขาดไร้อุปการะเฉพาะที่ผู้ตายมีหน้าที่อุปการะตามกฎหมายเท่านั้น  ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติให้บุตรและบิดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูกันนั้น  หมายถึง  บุตรและบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น    ไม่มีบทบัญญัติกำหนดสิทธิและหน้าที่ให้บิดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรนอกกฎหมายแต่ประการใด  ดังนั้น  แม้บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว  ตามมาตรา  1627  จะเป็นทายาทโดยธรรมก็มีสิทธิรับมรดกของบิดาได้  ตามมาตรา  1629(1)  แต่ก็ไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดา  บุตรนอกกฎหมายจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิดให้บิดาตนถึงแก่ความตายได้  กรณีนี้เด็กชายแดงย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะ  ตามมาตรา  443  วรรคท้ายจากนายโหดผู้กระทำละเมิด  เทียบฎีกาที่  1409/2548

สรุป

1       เด็กชายแดงมีสิทธิเรียกค่าปลงศพจากนายโหดได้

2       เด็กชายแดงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายโหด

 

 

ข้อ  4  นายเอกกับนายโทเป็นศัตรูกัน  วันเกิดเหตุขณะที่นายเอกขับรถยนต์ไปตามถนนเห็นนายโทเดินมา  นายเอกขับรถยนต์เพื่อที่จะชนนายโท  นายโทเห็นจวนตัวจะหลบก็หลบไม่ทัน  นายโทจึงใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ของนายเอกแตก  2  เส้น  คิดเป็นเงิน  5,000  บาท ดังนี้  นายโทจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเอกหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  449  บุคคลใดเมื่อกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี  กระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี  หากก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่

มาตรา  450  วรรคสาม  ถ้าบุคคลทำบุบสลาย  หรือทำลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด  เพื่อจะป้องกันสิทธิของตน  หรือของบุคคลภายนอกจากภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ  บุคคลเช่นว่านี้หาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่  หากว่าความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ  แต่ถ้าภยันตรายนั้นเกิดขึ้นเพราะความผิดของบุคคลนั้นเองแล้ว  ท่านว่าจำต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเอกชัยขับรถเพื่อที่จะชนนายโท  นายโทเห็นจวนตัวจะหลบก็หลบไม่ทัน  นายโทจึงใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ของนายเอกแตก  2  เส้น  การกระทำของนายโทเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  เพราะนายโทจำต้องกระทำการเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย  อันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและนายโทได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ  นายโทจึงสามารถอ้างเหตุนิรโทษกรรมเพื่อไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ยางรถยนต์แตก  2  เส้น  คิดเป็นเงิน  5,000  บาทได้  ตามมาตรา  449  วรรคแรก

กรณีนี้มิใช่กรณีที่นายโทจะอ้างนิรโทษกรรมตามมาตรา  450  วรรคสาม  เพราะรถยนต์มิใช่เป็นต้นเหตุแห่งภยันตราย  การที่รถยนต์ขับเคลื่อนไปได้ก็เพราะการควบคุมของนายเอก  จึงถือว่านายเอกได้เป็นผู้กระทำละเมิดเองโดยใช้ทรัพย์เป็นเครื่องมือ  จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา  450  วรรคแรก

สรุป  นายโทไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  449 

Advertisement