การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ก  และ  ข  เป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง  ก  ทำสัญญาจะขายที่ดินส่วนของตนให้กับ  ค  แล้วเรียกบังคับให้  ข  ผู้เก็บรักษาส่งมอบโฉนดที่ดินให้ตนเพื่อไปทำนิติกรรมโอนที่ดินให้ผู้ซื้อต่อไป  ข  อ้างว่า  ตนได้นำโฉนดที่ดินไปประกันหนี้เงินกู้ของตนไว้ไม่อาจส่งมอบให้  ก  ได้  แต่การโอนที่ดินนั้น  วัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรม”  ก  สามารถร้องขอต่อศาล  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้อยู่แล้ว  ตนไม่จำเป็นจะต้องส่งมอบโฉนดให้  ก  ข้ออ้างของ  ข  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  213  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้  เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้  ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด  เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ข  ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่  ก  หรือไม่  เห็นว่า  ก  และ  ข  เป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง  แต่ละคนย่อมมีสิทธิใช้สอยที่ดินดังกล่าวได้  แต่ต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆและเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ จะจำหน่ายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนก็ได้  (มาตรา  1361  วรรคแรก)  การที่  ข  นำโฉนดที่ดินไปให้บุคคลอื่นยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้  เป็นเหตุให้  ก  ไม่สามารถจดทะเบียนขายที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของ  ก  ให้กับ  ค  ตามสัญญาจะซื้อขาย  ย่อมขัดต่อสิทธิของ  ก  เช่นนี้  ข  ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่  ก  และหากโฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น  ข ย่อมต้องมีหน้าที่ดำเนินการนำโฉนดที่ดินคืนมาเพื่อส่งมอบแก่  ก  จนได้ตามมาตรา  213  วรรคแรก  กรณีมิใช่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้

ส่วนที่  ข  อ้างว่าในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนให้แก่  ค  นั้น  ก  สามารถขอให้ศาลสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ  ข  ได้  โดย  ก  ไม่ต้องขอให้  ข  ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่  ก  นั้น  เห็นว่า  ตามบทบัญญัติมาตรา  213  วรรคสอง  การที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้ก็เฉพาะกรณีวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น  แต่กรณีนี้  ก  เรียกให้  ข  ส่งมอบโฉนดที่ดิน  วัตถุแห่งหนี้จึงเป็นการส่งมอบทรัพย์สินมิใช่เป็นการให้ทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้

ดังนั้น  ข้ออ้างของ  ข  ที่ว่า  ตนไม่จำเป็นจะต้องส่งมอบโฉนดที่ดินให้กับ  ก  และ  ก  สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ  ข  ได้นั้น  จึงฟังไม่ขึ้น  ข  ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินให้กับ  ก  (ฎ. 4920/2547)

สรุป  ข้ออ้างของ  ข  ฟังไม่ขึ้น

 

 

ข้อ  2  แดงกู้เงินธนาคารสี่ล้านบาทโดยมีดำ  ขาว  เหลือง  และเขียว  เป็นผู้ค้ำประกัน  ขาวผู้เดียวเป็นผู้ชำระหนี้แทนแดงทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวมสี่ล้านสี่แสนบาท  ขาวจะเรียกให้ใครรับผิดได้หรือไม่  เพียงใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  226  วรรคแรก  บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้  ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้  รวมทั้งประกันเหตุแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง

มาตรา  229  การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย  และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น  หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้  มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น  และเข้าใช้หนี้นั้น

มาตรา  296  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนท่าๆกัน  เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น  เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้  ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร  ลูกหนี้คนอื่นๆ  ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้  แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใด  เจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว  ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

มาตรา  693  ผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชำระหนี้แล้ว  ย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้  เพื่อต้นเงินกับดอกเบี้ยและเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใดๆเพราะการค้ำประกันนั้น

อนึ่งผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บรรดามีเหนือลูกหนี้ด้วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ดำ  ขาว  เหลือง  และเขียว  เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ธนาคาร  4  ล้านบาท  ที่มีแดงเป็นลูกหนี้  ถือเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน  ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา  682  วรรคสอง  ซึ่งตามมาตรา  296  กำหนดว่า  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ต่างตนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง  ในทางกลับกันลูกหนี้ร่วมกันแต่คนใดคนหนึ่งจะชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหนี้ก็ได้  (มาตรา  291) 

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ขาวผู้ค้ำประกันคนหนึ่งเข้าชำระหนี้แทนแดงทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย  รวม  4  ล้าน  4  แสนบาท  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่า  เมื่อขาวชำระหนี้ไปแล้ว  ขาวจะเรียกให้ใครรับผิดได้หรือไม่  เพียงใด  เห็นว่า

1       เมื่อขาวผู้ค้ำประกันคนหนึ่งเข้าชำระหนี้แล้ว  ขาวย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยได้ทั้งเงินต้น  ดอกเบี้ย  และค่าเสียหายจากการค้ำประกันได้ทั้งหมดจากแดงลูกหนี้ชั้นต้นตามมาตรา  693  วรรคแรก  และ

2       ขาวผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้โดยอำนาจของกฎหมาย  ในฐานะเป็นบุคคลผู้มีความผูกพันเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้นและเข้าใช้หนี้นั้นตามมาตรา    229(3)  ประกอบมาตรา  226  วรรคแรก  ไปไล่เบี้ยเอากับผู้ค้ำประกันอื่นๆได้ทุกคนตามมาตรา  693  วรรคสอง  ทั้งนี้ตามสัดส่วนความรับผิดของผู้ค้ำประกันแต่ละคนตามมาตรา  296 กล่าวคือ  ไล่เบี้ยเอากับดำ  เหลือง  และเขียวได้คนละ  1  ล้าน  1  แสนบาท  (ฎ. 4574/2536)

สรุป  ขาวจะเรียกให้แดงลูกหนี้ชำระหนี้ทั้งหมด  4  ล้าน  4  แสนบาทตามมาตรา  693  วรรคแรก  หรือจะเรียกให้ดำ  เหลือง  และเขียวผู้ค้ำประกันร่วมคนอื่นๆรับผิดคนละ  1  ล้าน  1  แสนบาทก็ได้ตามมาตรา  229(3)  ประกอบมาตรา  226  วรรคแรก  และมาตรา  693  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  296

 

 

ข้อ  3  จันทร์ได้ยกที่ดิน  1  แปลงให้แก่อังคารโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย  ต่อมาอังคารได้ประพฤติตนเนรคุณโดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรง  จันทร์จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้  แต่ปรากฏว่าก่อนที่อังคารจะได้ประพฤติเนรคุณและก่อนที่จันทร์จะได้ทราบเหตุเนรคุณดังกล่าว  อังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นให้แก่พุธ  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน  และพุธรับไว้โดยสุจริต  ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า  มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้จะมีวิธีใดตามบรรพ  2  แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ที่ควรนำมาใช้กับเรื่องนี้  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มาตรการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เหมาะสมที่สุด  คือ  การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา  237  สำหรับหลักเกณฑ์ที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลดังกล่าว  ประกอบด้วย

1       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล  หมายถึง  นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  ซึ่งก็คือ  นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง

2       ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบ

3       นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้  ถ้ามิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว  เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ  ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้)  ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้  (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม  ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)

4       หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)

5       การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น

ดังนั้น  ในเบื้องต้นจึงต้องพิจารณาให้ได้ความว่า  ผู้ที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลตามมาตรา  237  จะต้องอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ในขณะทำนิติกรรม  ถ้าในขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรม  ผู้ขอให้เพิกถอนยังไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้  จะฟ้องขอให้เพิกถอนตามมาตรา  237  ไม่ได้

สำหรับกรณีนี้  แม้อังคารจะประพฤติเนรคุณโดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรงซึ่งจันทร์มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้ก็ตาม  แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าอังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่พุธก่อนที่จะมีการประพฤติเนรคุณและก่อนที่จันทร์จะได้ทราบเหตุเนรคุณดังกล่าว  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  237  วรรคแรก  เพราะขณะอังคารยกที่ดินให้พุธอันเป็นการให้โดยเสน่หา  จันทร์ยังไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้และยังไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ  ทั้งนี้เนื่องจากในเรื่องการให้โดยเสน่หา  เมื่อผู้รับประพฤติเนรคุณ  ผู้ให้ชอบที่จะเพิกถอนการให้ได้นับแต่วันที่ทราบเหตุเนรคุณ  และนับแต่นั้นจึงจะถือว่าผู้ให้อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้  (ฎ. 1514 1515/2516)  ดังนั้นจันทร์จึงไม่อาจร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างอังคารกับพุธได้

กรณีจึงไม่มีวิธีใดตามบรรพ  2  แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่จะนำมาใช้เป็นมาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคารได้

สรุป  ไม่มีวิธีใดตามบรรพ  2  ที่จะเป็นมาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้

 

 

ข้อ  4  หนึ่งเป็นเจ้าหนี้และสองเป็นลูกหนี้  ในหนี้เงิน  200,000  บาท  โดยมีสามและสี่เป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าวนี้  ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  สอง  (ลูกหนี้)  ผิดนัด  แต่ต่อมาปรากฏว่าสามเพียงคนเดียวได้เอาแหวนเพชรตีใช้หนี้แทนเงิน  200,000  บาท  ให้แก่หนึ่ง ซึ่งหนึ่งยอมรับเอาไว้  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  สี่ยังคงต้องรับผิดต่อหนึ่ง  หรือไม่  เพียงใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  292  วรรคแรก  การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น  ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย  วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใดๆ  อันพึงกระทำแทนชำระหนี้  วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย

มาตรา  321  วรรคแรก  ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้  ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สามและสี่เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงิน  200,000  บาท  ที่มีสองเป็นลูกหนี้  ย่อมเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน  ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นทุกคนจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา  682  วรรคสอง  ซึ่งตามมาตรา  296  กำหนดว่า  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง  ในทางกลับกันลูกหนี้ร่วมกันแต่คนใดคนหนึ่งจะชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหนี้ก็ได้ (มาตรา  291)

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  สามผู้ค้ำประกันร่วมคนหนึ่งได้เอาแหวนเพชรตีใช้หนี้แทนเงิน  200,000  บาท  ให้แก่หนึ่ง  ซึ่งหนึ่งยอมรับเอาไว้  กรณีจึงเป็นเรื่องที่สามลูกหนี้ร่วมทำการอันพึงกระทำแทนการชำระหนี้ตามมาตรา  292  วรรคแรก  ซึ่งก็หมายถึง  การที่เจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  321  วรรคแรกนั่นเอง  การที่สามลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้และเจ้าหนี้ก็ยอมรับย่อมมีผลให้หนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไป  การระงับแห่งหนี้ย่อมเป็นประโยชน์แก่สี่ลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย  ตามมาตรา  292  วรรคแรก  สี่จึงไม่ต้องรับผิดต่อหนึ่งอีกต่อไป

สรุป  สี่ไม่ต้องรับผิดต่อหนึ่งอีกต่อไป  เพราะการชำระหนี้ของสามมีผลให้หนี้ระงับไปถึงสี่ด้วย

Advertisement