การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  นาย  ก  เป็นเจ้าของกิจการห้างสรรพสินค้า  ในช่วงระหว่างวันที่  20  ธันวาคม  ถึงวันที่  5  มกราคม  ของทุกปี  จะเป็นช่วงที่ร้านของนาย  ก  สั่งสินค้าจำพวก  ส.ค.ส  แบบต่างๆ  มาจำหน่ายแก่ลูกค้า  และสามารถสร้างผลกำไรจากการขาย  ส.ค.ส.  แก่นาย  ก  เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า  50,000  บาทต่อปี

โดยจะสั่งซื้อจากโรงงานของนาย  ข  เพียงแห่งเดียว  สำหรับในปี  2549  นาย  ก  ได้ส่งคำสั่งซื้อ  ส.ค.ส.  แบบมีเลข  พ.ศ.  กำกับไปยังโรงงานของนาย  ข  จำนวน  2,000  ชุด  เช่นทุกปี  โดยตกลงกันว่า   นาย  ข  จะต้องนำสินค้ามาส่งที่ร้านของนาย  ก  ในวันที่  19 ธันวาคม  2549  เพื่อจะได้จัดเตรียมการจำหน่ายแก่ลูกค้าในวันรุ่งขึ้น  แต่ปรากฏว่านาย  ข  กลับนำสินค้ามาส่งในวันที่  4  มกราคม  2550  นาย  ก  จึงไม่ยอมรับสินค้าทั้งหมดไว้จำหน่าย

เพราะนาย  ก  เห็นว่า  นาย  ข  ผิดนัด  ทั้ง  ส.ค.ส.  ที่เอามาส่งก็ไม่สามารถจำหน่ายได้แล้วเนื่องจากล่วงพ้นช่วงเทศกาลปีใหม่มาแล้ว  ต่อมา  นาย  ก  จึงฟ้องนาย  ข  เรียกค่าเสียหายจำนวน  50,000  บาท  พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ  15  ต่อปี

จากเงินต้นดังกล่าว  นาย  ข  ต่อสู้ว่า  นาย  ก  ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจำนวนนั้น  เพราะเป็นแต่เพียงผลกำไรที่คาดว่าจะได้จากการขาย  ส.ค.ส.  เท่านั้น  นอกจากนั้นนาย  ก  ก็ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละ  15  ด้วย  เพราะไม่เคยตกลงกันในเรื่องนี้

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างและข้อต่อสู้ของทั้งสองคนฟังขึ้นหรือไม่  อย่างไร

วินิจฉัย

มาตรา  204  วรรคสอง  ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน  และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้  ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย

มาตรา  216  ถ้าโดยเหตุผิดนัด  การชำระหนี้กลายเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้  เจ้าหนี้จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้และจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ก็ได้

มาตรา  222  วรรคสอง  เจ้าหนี้จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้  แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ  หากว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็น  หรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

วินิจฉัย

นิติสัมพันธ์ระหว่างนาย  ก  กับนาย  ข  เป็นสัญญาซื้อขาย  ซึ่งนาย  ข  ต้องส่งมอบหรือชำระหนี้แก่นาย  ก  ตามวันที่กำหนดในปฏิทิน  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  204  วรรคสอง  คือวันที่  19  ธันวาคม  2549  เมื่อปรากฏว่านาย  ข  ส่งมอบสินค้าเมื่อพ้นกำหนดตามที่ตกลงกัน จึงเป็นการผิดนัดชำระหนี้  และจะเห็นได้ว่าการชำระหนี้ในวันที่  4  มกราคม  2550  ทำให้การชำระหนี้เป็นอันไร้ประโยชน์แก่นาย  ก  ตามมาตรา  216  นาย  ก  มีสิทธิที่จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้ได้  และมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากนาย  ข  ได้ด้วย

ค่าเสียหายที่นาย  ก  เรียกจำนวน  50,000  บาทนั้น  เป็นค่าเสียหายในพฤติการณ์พิเศษ  ตามมาตรา  222  วรรคสอง  ซึ่งนาย  ข  สามารถคาดเห็นได้อยู่แล้วว่า  นาย  ก  จะได้กำไรจากการขาย  ส.ค.ส.  ดังกล่าวเพราะได้ติดต่อค้าขายกันมากับนาย  ก  เป็นประจำและหลายปี  ดังนั้นนาย  ข  จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่  นาย  ก  แต่สำหรับดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าวนั้น  นาย  ก  สามารถเรียกได้เพียงอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปี  ตามมาตรา  224  วรรคแรก  จะเรียกถึงร้อยละ  15  นั้นไม่ได้  เพราะข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า  นาย  ก  กับ นาย  ข  ได้ตกลงกันให้คิดดอกเบี้ยได้เท่าถึงอัตราดังกล่าวตามมาตรา  224  วรรคแรก  ตอนท้าย

 

 

ข้อ  2  นายดำกู้ยืมเงินจากนายแดงไป  2  ครั้ง  ครั้งแรกทำสัญญากู้ยืมเงินวันที่  1  กันยายน  2536  จำนวนเงิน  100,000  บาท  โดยไม่คิดดอกเบี้ยและไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงิน  ครั้งที่  2  ทำสัญญากู้ยืมเงิน วันที่  1  ธันวาคม  2539  จำนวนเงิน  200,000  บาท  โดยไม่คิดดอกเบี้ยและไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงินคืนเช่นกัน  ต่อมาวันที่  10  กันยายน  2547  นายแดงทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ทั้ง  2  ครั้ง  ให้แก่นายขาวโดยนายแดงลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องแต่ฝ่ายเดียว

ในวันดังกล่าวนายดำได้ทำหนังสือยินยอมให้โอนสิทธิเรียกร้องให้นายขาวได้  โดยหนังสือยินยอมที่นายดำลงลายมือชื่อไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอายุความไว้ด้วย  ต่อมาวันที่  1  กุมภาพันธ์  2550  นายขาวยื่นฟ้องนายดำเป็นจำเลยขอให้บังคับนายดำชำระเงินกู้จำนวน  100,000  บาท  และ  200,000  บาท  แก่นายขาว  นายดำยื่นคำให้การว่าการโอนสิทธิเรียกร้องไม่สมบูรณ์

เพราะนายแดงลงลายมือชื่อในหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องฝ่ายเดียว  นายขาวยื่นฟ้องเกิน  10  ปีนับแต่วันทำสัญญากู้ยืมเงินทั้ง  2  ครั้ง  คดีขาดอายุความ  ขอให้ยกฟ้อง

ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าว  หากท่านเป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้นท่านจะพิพากษายกฟ้องตามที่นายดำให้การ  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  193/29  เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้  ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้

มาตรา  193/30  อายุความนั้น  ถ้าประมวลกฎหมายนี้  หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้มีกำหนดสิบปี

มาตรา  306  วรรคหนึ่ง  การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าไม่สมบูรณ์  อนึ่งการโอนหนี้นั้น  ท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้  หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น  คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้  ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ

มาตรา  308  วรรคหนึ่ง  ถ้าลูกหนี้ได้ให้ความยินยอมดังกล่าวมาในมาตรา  306  โดยมิได้อิดเอื้อน  ท่านว่าจะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนนั้นหาได้ไม่

วินิจฉัย

นายแดงโอนสิทธิเรียกร้องให้นายขาวทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเป็นหนังสือ  แม้จะลงลายมือชื่อนายแดงผู้โอนสิทธิเรียกร้องเพียงฝ่ายเดียว  ก็สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  306  วรรคหนึ่ง  นายขาวจึงมีอำนาจฟ้อง

นายขาวยื่นฟ้องวันที่  1  กุมภาพันธ์  2550  พ้น  10  ปี  นับแต่วันทำสัญญากู้ยืมเงิน  ทั้ง  2  ครั้ง  คดีจึงขาดอายุความตามมาตรา  193/30  แต่ศาลจะยกเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้  เว้นแต่จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ตามมาตรา  193/29  เมื่อนายขาวยื่นฟ้องในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง  นายดำลูกหนี้ย่อมมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของตนที่มีอยู่ขึ้นต่อสู้นายขาวได้  ปรากฏว่านายดำมีหนังสือยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้อง  เมื่อวันที่  10  กันยายน  2547  ซึ่งขณะนั้นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินครั้งที่  1  ขาดอายุความแล้ว  แต่นายดำมิได้อิดเอื้อนเรื่องคดีขาดอายุความไว้  นายดำจึงไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้นายขาวได้ตามมาตรา  308  ส่วนหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินครั้งที่  2  ขณะที่นายดำให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้อง  ยังไม่ขาดอายุความ  นายดำจึงไม่ต้องอิดเอื้อนไว้และสามารถนำกำหนดระยะเวลาที่ล่วงไปแล้วมารวมเข้ากับระยะเวลาหลังจากที่โอนสิทธิเรียกร้องได้นายดำจึงยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้  เมื่อนายดำให้การว่าคดีขาดอายุความ  ศาลต้องพิพากษายกฟ้องในส่วนนี้

หากข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  จะพิพากษายกฟ้องเฉพาะหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินครั้งที่  2  จำนวน  200,000  บาท

 

 

ข้อ  3  จันทร์กู้เงินของอังคารไปหนึ่งล้านบาท  โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงเดียวที่มีอยู่เป็นประกันเงินกู้กับอังคาร  ที่ดินแปลงนี้ราคาประมาณหนึ่งล้านบาท  นอกจากที่ดินแปลงนี้แล้วจันทร์มีสิทธิเป็นเจ้าหนี้พุธในมูลหนี้ซื้อขายอยู่ห้าแสนบาท  ซึ่งหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว

ส่วนทรัพย์สินอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ไม่มี  ต่อมาปรากฏว่าเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ดินแปลงดังกล่าวตกเหลือราคาประมาณห้าแสนบาท  อังคารพยายามบอกกล่าวให้จันทร์ใช้สิทธิเรียกร้องให้พุธชำระหนี้  แต่จันทร์ก็ละเลยเพิกเฉยเสีย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าอังคารจะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของจันทร์ลูกหนี้ในกรณีดังกล่าวนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  214  ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา  733  เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง  รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่นๆซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย

มาตรา  233  ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง  หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้  เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้

มาตรา  733  ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด  และราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี  หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้  ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดี  เงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใด  ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหาเรื่องจำนอง  เมื่อไม่มีข้อตกลงรับผิดชดใช้เงินที่ขาดเมื่อบังคับจำนอง  หากเจ้าหนี้บังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินจำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้  เจ้าหนี้ก็ไม่มีสิทธิบังคับเอากับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ได้อีก  (ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  214  และมาตรา  733)  อังคาร  (เจ้าหนี้)  จึงไม่มีสิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินอย่างอื่นของจันทร์โดยการใช้สิทธิเรียกร้องของจันทร์  เพราะการละเลยเพิกเฉยไม่เรียกให้พุธชำระหนี้ไม่เป็นการเสียประโยชน์แก่อังคาร  (เจ้าหนี้)  กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติในมาตรา  233  อังคารใช้สิทธิเรียกร้องของจันทร์ไม่ได้

 

 

ข้อ  4  ก  ข  ค  เป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงินของ  ง  3,000  บาท  โดยตกลงระหว่างกันเองให้แต่ละคนได้เงินกู้ไป  1,000  บาท  ต่อมาปรากฏว่า  ง  ตาย  แต่  ง  ได้ทำพินัยกรรมยกสิทธิเรียกร้องในเงินกู้รายนี้ให้แก่  ก  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ก  จะเรียกให้  ข  และ  ค  ชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวได้หรือไม่  เพียงใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  295  ข้อความจริงอื่นใด  นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  นั้น  เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น  เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

ความที่ว่ามานี้  เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าว  การผิดนัด  การที่หยิบยกอ้างความผิด  การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง  กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง  และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน

มาตรา  353  ถ้าสิทธิ  และความรับผิดในหนี้รายใดตกอยู่แก่บุคคลคนเดียวกัน  ท่านว่าหนี้รายนั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

วินิจฉัย

ก  เป็นผู้รับพินัยกรรมของ  ง  กรณีจึงเกิดหนี้เกลื่อนกลืนในตัว  ก  และกฎหมายบัญญัติให้หนี้เกลื่อนกลืนกันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของ  ก  ผู้เดียว  ไม่มีผลถึงลูกหนี้ร่วมคนอื่นๆ  ข  และ  ค  จึงหาได้รับผลด้วยไม่  ก  จึงคงใช้สิทธิเรียกให้  ข  และ  ค  ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่  ก  ได้  เฉพาะส่วนที่เหลือทำนองเดียวกับการปลดหนี้  กล่าวคือ  ก  สามารถเรียกให้  ข  และ  ค  ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ให้  ก  ได้  เป็นจำนวนเงิน 2,000  บาท  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  295  วรรคแรก  และวรรคสอง  ประกอบมาตรา  353

Advertisement