การสอบไล่ภาค 1  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

Advertisement

ข้อ  1  เมื่อวันที่  1  ตุลาคม  2551  นาย  ก  อาชีพทนายความ  กู้ยืมเงินนาย  ข  100,000  บาท  อัตราดอกเบี้ยร้อยละ  15  ต่อปี  ตกลงชำระหนี้ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยในวันที่  1  ตุลาคม  2552  ที่บ้านของนาย  ข  ต่อมาเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  นาย  ก  ได้นำเงินสดพร้อมดอกเบี้ยไปชำระแก่นาย  ข  ที่บ้าน  แต่นาย  ข  เห็นว่า  ดอกเบี้ยที่ได้รับตามสัญญาสูงมากเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร  จึงไม่ยอมรับชำระหนี้ดังกล่าว  และแจ้งให้นาย  ก  นำเงินกลับไปก่อน  นาย  ก  ไม่ว่าอะไรแล้วกลับบ้านไป  เวลาผ่านไปจนกระทั่งวันที่  10 ตุลาคม  2554

นาย  ข  ได้ยื่นฟ้องนาย  ก  ต่อศาลเรียกเงินที่ให้กู้ไปคืนโดยคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่  2  ตุลาคม  2552  เป็นต้นไปจนกว่านาย  ก  จะชำระเสร็จสิ้น  นาย  ก  ได้รับหมายเรียกสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่  1  ธันวาคม  2554  จากข้อเท็จจริงดังกล่าว  ถ้านักศึกษาเป็นศาลจะวินิจฉัยข้อกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  203  ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้  หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน  และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

มาตรา  204  ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  และภายหลังแต่นั้น  เจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว  ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้  ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน  และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้  ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย  วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้  ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  221  หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น  ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

วินิจฉัย

 กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  กู้ยืมเงินนาย  ข  100,000  บาท  โดยตกลงชำระหนี้ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยในวันที่  1  ตุลาคม  2552  ที่บ้านของนาย  ข  นั้น  ย่อมถือว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระหนี้  ตามวันแห่งปฏิทินตามมาตรา  204  วรรคสอง  ดังนั้น  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระและนาย  ก  ได้นำเงินสดพร้อมดอกเบี้ยไปชำระที่บ้านนาย  ข  จึงถือเป็นกรณีที่ลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว  เมื่อปรากฏว่านาย  ข  กลับไม่ยอมรับชำระหนี้ดังกล่าว  เพราะเห็นว่าดอกเบี้ยที่ได้รับตามสัญญาสูงมากเมื่อเทียบกับอัตราเงินฝากธนาคาร  ย่อมถือว่านาย  ข  เจ้าหนี้ไม่ยอมรับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้  นาย  ข  เจ้าหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 207

และเมื่อถือว่านาย  ข  เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด  ผลแห่งการนี้ย่อมทำให้นาย  ข  ไม่อาจเรียกดอกเบี้ยในระหว่างที่ตนผิดนัดได้ตามมาตรา  221  และทำให้หนี้เงินกู้ระหว่างนาย  ก  กับนาย  ข  กลายเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระตามมาตรา  203  วรรคแรก

ดังนั้น  เมื่อปรากฏว่าวันที่  10  ตุลาคม  2554  นาย  ข  ได้ยื่นฟ้องนาย  ก  ต่อศาล  เรียกเงินที่ให้กู้ไปคืน  นาย  ข  จึงไม่อาจจะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาจากนาย  ก  ตั้งแต่วันที่  2  ตุลาคม  2552  ได้  เพราะถือว่าอยู่ระหว่างเวลาที่นาย  ข  เจ้าหนี้ผิดนัดตามมาตรา  221

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อหนี้รายนี้กลายเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระแล้ว  การที่นาย  ข  เจ้าหนี้ยื่นฟ้องนาย  ก  เรียกหนี้เงินกู้คืนนั้น  ย่อมถือว่านาย  ข  ได้เตือนนาย  ก  ให้ชำระหนี้แล้วตั้งแต่วันที่ยื่นฟ้อง  ดังนั้น  นาย  ข  จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันที่  10  ตุลาคม  2554  เป็นต้นไป  จนกว่านาย  ก  จะชำระหนี้เสร็จสิ้น  เพราะถือว่าอยู่ระหว่างเวลาที่นาย  ก  ลูกหนี้ผิดนัดตามมาตรา  204  วรรคแรก  โดยนาย  ข  สามารถเรียกดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ  15  ต่อปี ตามสัญญา  ตามมาตรา  224

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยข้อกฎหมายดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

 

 

ข้อ  2  นายไสว่าจ้างบริษัท  ตรงเวลา  จำกัด  ให้ขนส่งไขมันนมจากฟาร์มของนายไสที่จังหวัดราชบุรีเพื่อไปส่งที่โรงงานของนายไสเองในกรุงเทพมหานคร  บริษัท  ตรงเวลา  จำกัด  ได้รับมอบไขมันนม  100  ถังราคา  100,000  บาท  ไว้เพื่อการขนส่งแล้ว  ระหว่างการขนส่ง  คนขับรถพนักงานของบริษัท  ตรงเวลาจำกัด  ขับรถโดยไม่ระมัดระวังและใช้ความเร็วเกินกำหนด

ทำให้สินค้าที่ขนส่งได้รับการกระทบกระเทือน  เมื่อสินค้าถึงโรงงานของนายไสในกรุงเทพมหานคร  ปรากฏว่าไขมันนม  20  ถัง  ราคา  20,000  บาท  มีรอยแตกซึม  เกิดการปนเปื้อนกับฝุ่นผงในอากาศ  และเนื่องจากไขมันนมเหล่านี้  นายไสจะนำมาใช้ผลิตนมผงสำหรับเลี้ยงทารกที่ต้องใช้วัตถุดิบที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน  นายไสจึงปฏิเสธไม่ยอมรับสินค้าไขมันนมทั้ง  100  ถัง

และเรียกค่าเสียหายจากบริษัท  ตรงเวลา  จำกัดทั้งหมดเป็นเงิน  100,000  บาท  ถ้านักศึกษาเป็นที่ปรึกษากฎหมายของบริษัท  ตรงเวลา จำกัด  นักศึกษาจะแนะนำอย่างไรเพื่อให้บริษัทเสียหายน้อยที่สุด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  218  ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ต้องรับผิดชอบไซร้  ท่านว่าลูกหนี้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เจ้าหนี้เพื่อค่าเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น

ในกรณีที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยแต่เพียงบางส่วน  ถ้าหากว่าส่วนที่ยังเป็นวิสัยจะทำได้นั้น  จะเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้แล้ว  เจ้าหนี้จะไม่ยอมรับชำระหนี้ส่วนที่ยังเป็นวิสัยจะทำได้นั้นแล้ว  และเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้เสียทั้งหมดทีเดียวก็ได้

มาตรา  220  ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบในความผิดของตัวแทนแห่งตนกับทั้งของบุคคลที่ตนใช้ในการชำระหนี้นั้นโดยขนาดเสมอกับว่าเป็นความผิดของตนเองฉะนั้น  แต่บทบัญญัติแห่งมาตรา  373  หาใช้บังคับแก่กรณีเช่นนี้ด้วยไม่

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ไขมันนม  20  ถัง  เกิดการปนเปื้อนนั้น  เกิดจากการขับรถโดยไม่ระมัดระวังของพนักงานบริษัท  ตรงเวลา  จำกัด ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของบริษัทในการปฏิบัติการชำระหนี้  คือ  การขนส่งสินค้าไปส่งมอบที่ปลายทาง  ดังนั้น  บริษัท  ตรงเวลา  จำกัด  จึงต้องร่วมรับผิดชอบด้วยตามมาตรา  220

และจากข้อเท็จจริงตามปัญหา  การชำระหนี้ในส่วนของไขมันนม  20  ถัง  ที่มีรอยแตกซึมนั้น  ถือได้ว่าเป็นการพ้นวิสัยแล้ว  เนื่องจากเป็นสินค้าที่จะต้องนำไปใช้ผลิตนมผงสำหรับทารกซึ่งไม่สามารถใช้วัตถุดิบปนเปื้อนได้  เพราะจะเป็นอันตรายต่อทารก  ดังนั้น  เมื่อการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยนี้เกิดขึ้นเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ  ความเสียหายในส่วนนี้บริษัท  ตรงเวลา  จำกัด  จึงต้องชดใช้ค่าสินไหมให้แก่นายไส  ตามมาตรา  218  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  สำหรับไขมันนมอีก  80  ถังนั้น  เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการปนเปื้อน  หรือได้รับความเสียหายอย่างไร  จึงไม่อาจถือได้ว่าไขมันนมส่วนนี้เป็นอันไร้ประโยชน์แก่นายไส  เพราะนายไสยังสามารถนำไปใช้ผลิตนมผงสำหรับเลี้ยงทารกได้ตามความประสงค์  นายไสจึงไม่มีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับมอบไขมันนมส่วนนี้จากบริษัท  และเรียกค่าเสียหายด้วยได้ตามมาตรา  218  วรรคสอง  ดังนั้น  บริษัท  ตรงเวลา  จำกัด  จึงควรชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายไสเพียง  20,000  บาท  สำหรับความเสียหายที่เกิดจากการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย  ในส่วนของไขมันนม  20  ถังเท่านั้น

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่ปรึกษากฎหมายของบริษัท  ตรงเวลา  จำกัด  ข้าพเจ้าจะแนะนำดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

 

 

ข้อ  3  จันทร์เป็นเจ้าหนี้  โดยมีอังคารและพุธเป็นลูกหนี้ร่วม  ในหนี้เงินกู้ยืมหนึ่งแสนบาท  อังคารเป็นคนที่มีฐานะดี  สามารถชำระหนี้ให้แก่จันทร์โดยสิ้นเชิงได้  แต่พุธฐานะไม่ค่อยดีมีทรัพย์สินอยู่เพียงอย่างเดียว  คือรถยนต์หนึ่งคันราคาประมาณหนึ่งแสนบาท

ปรากฏว่าก่อนหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระเพียงห้าวัน  พุธได้ยกรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินอย่างเดียวที่มีอยู่ให้กับบุตรโดยเสน่หา  หลังจากนั้นจันทร์ทราบเรื่อง  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าจันทร์จะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการยกรถยนต์ให้โดยเสน่หาระหว่างพุธกับบุตรได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

มาตรา  291  ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้  แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว  (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน)  ก็ดี  เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก  แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่พุธลูกหนี้ได้ยกรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินอย่างเดียวที่มีอยู่ให้กับบุตรโดยเสน่หานั้น  ถือเป็นนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  จึงเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้  และกรณีนี้แม้บุตรของพุธซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นจะไม่รู้ว่าเป็นการยกให้เพื่อหนีหนี้  จันทร์ก็ย่อมฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการยกรถยนต์ให้โดยเสน่หาระหว่างพุธกับบุตรได้ตามมาตรา  237  วรรคแรก

อย่างไรก็ตาม  แม้จะปรากฏว่า  อังคารกับพุธเป็นลูกหนี้ร่วมกัน  แต่กฎหมายในเรื่องลูกหนี้ร่วมนั้น  เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้คนใดคนหนึ่งโดยสิ้นเชิงได้ตามมาตรา  291  ดังนั้น  การที่พุธลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งทำนิติกรรมอันเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  ซึ่งถือเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้ตามมาตรา  237  วรรคแรก  จันทร์เจ้าหนี้ย่อมฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้  แม้ว่าอังคารลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งจะมีฐานะดี  สามารถชำระหนี้โดยสิ้นเชิงได้ก็ตาม  เพราะกรณียังคงถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอันเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ

สรุป  จันทร์สามารถฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการยกรถยนต์ให้โดยเสน่หาระหว่างพุธกับบุตรได้   

 

 

ข้อ  4  เอกเป็นลูกหนี้ที่จะต้องส่งมอบม้าตัวหนึ่งให้แก่โทและตรี  กำหนดส่งมอบม้าให้แก่โทและตรีในวันที่  20  มกราคม  2555  ปรากฏว่าเมื่อถึงกำหนดส่งมอบ  เอกได้เสนอขอปฏิบัติการชำระหนี้ส่งมอบม้าให้แก่โทและตรีด้วยกันทั้งสองคน  ปรากฏว่าโทพร้อมและตกลงรับการส่งมอบม้า  แต่ตรีเพียงผู้เดียวปฏิเสธไม่ยอมรับการชำระหนี้จากเอกโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ใครบ้างที่ตกเป็นผู้ผิดนัด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  302  ถ้าการชำระหนี้เป็นการอันจะแบ่งกันชำระมิได้  และมีบุคคลหลายคนเป็นเจ้าหนี้ถ้าบุคคลเหล่านั้นมิได้เป็นเจ้าหนี้ร่วมกันไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ได้แต่จะชำระหนี้ให้ได้ประโยชน์แก่บุคคลเหล่านั้นทั้งหมดด้วยกัน  และเจ้าหนี้แต่ละคนจะเรียกชำระหนี้ได้ก็แต่เพื่อได้ประโยชน์ด้วยกันหมดทุกคนเท่านั้น  อนึ่งเจ้าหนี้แต่ละคนจะเรียกให้ลูกหนี้วางทรัพย์ที่เป็นหนี้นั้นไว้เพื่อประโยชน์แห่งเจ้าหนี้หมดทุกคนด้วยกันก็ได้หรือถ้าทรัพย์นั้นไม่ควรแก่การจะวางไว้  ก็ให้ส่งแก่ผู้พิทักษ์ทรัพย์ซึ่งศาลจะได้ตั้งแต่งขึ้น

นอกจากนี้  ข้อความจริงใดที่ท้าวถึงเจ้าหนี้คนหนึ่งเท่านั้น  หาเป็นไปเพื่อคุณหรือโทษแก่เจ้าหนี้คนอื่นๆด้วยไม่

วินิจฉัย

โดยหลัก  ถ้าเป็นเรื่องหนี้ที่แบ่งกันชำระมิได้  และมีเจ้าหนี้หลายคนโดยเจ้าหนี้เหล่านั้นมิได้เป็นเจ้าหนี้ร่วมกัน  การกระทำของเจ้าหนี้คนหนึ่งย่อมเป็นเรื่องเฉพาะตัวของเจ้าหนี้คนนั้น  หามีผลไปถึงเจ้าหนี้คนอื่นไม่  ตามมาตรา  302

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เอกเป็นลูกหนี้ที่จะต้องส่งมอบม้าตัวหนึ่งให้แก่โทและตรีนั้น  ถือเป็นเรื่องการชำระหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้  โดยมีโทและตรีเป็นเจ้าหนี้  แต่ไม่ถือว่าเป็นเจ้าหนี้ร่วมกัน  ดังนั้น  เมื่อถึงเวลาส่งมอบม้า  การที่เอกได้เสนอขอปฏิบัติการชำระหนี้ส่งมอบม้าให้แก่โทและตรีด้วยกันทั้งสองคน  การขอปฏิบัติการชำระหนี้ของเอกจึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  302  วรรคแรก  เพราะเป็นกรณีที่ลูกหนี้ได้ชำระหนี้เพื่อให้ได้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหมดแล้ว

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ตรีเพียงผู้เดียวที่ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้จากเอกโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้  ก็ย่อมมีผลทำให้ตรีตกเป็นเจ้าหนี้ผู้ผิดนัด  ตามมาตรา  207  และผลของการผิดนัดนี้  ถือเป็นกรณีที่ตรีตกเป็นเจ้าหนี้ผิดนัดโดยลำพัง  หามีผลให้โทเจ้าหนี้อีกคนหนึ่งผิดนัดด้วยไม่  ตามมาตรา  302  วรรคสอง

สรุป  ตรีแต่ผู้เดียวที่ตกเป็นผู้ผิดนัด

Advertisement