การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 (LA 201),(LW 204) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  สมัครเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับทางสาธารณะที่เป็นทางดินลูกรัง  แต่สมัครได้ทำถนนผ่านที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งทางราชการยังไม่เคยออกเอกสารสิทธิให้แก่ราษฎรผู้ใด  สมัครใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกที่ดินดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลากว่า  12  ปีแล้ว  เพราะเห็นว่าสะดวกกว่าการใช้ทางดินลูกรัง

ต่อมาทางราชการได้ล้อมรั้วเพื่อก่อสร้างสถานที่ราชการตรงที่ดินแปลงนั้น  ทำให้สมัครไม่สามารถใช้ถนนดังกล่าวได้  สมัครจึงยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้ทางราชการเปิดเส้นทางให้สมัครสามารถใช้ถนนผ่านเข้าออกได้เช่นเดิม  เพราะตกเป็นภาระจำยอมแล้ว  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างของสมัครรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1304  สาธารณะสมบัติของแผ่นดินนั้น  รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดิน  ซึ่งใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์  หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน  เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า  และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง  หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน

มาตรา  1306  ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น  กฎหมายห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินเพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือทรัพยสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้นตามมาตรา  1306

กรณีตามอุทาหรณ์  ถึงแม้สมัครจะทำถนนผ่านที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งทางราชการยังไม่เคยออกเอกสารสิทธิให้แก่ราษฎรผู้ใด  และใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกที่ดินดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลากว่า  12  ปีแล้วก็ตาม  สมัครก็ไม่ได้ภาระจำยอมซึ่งถือเป็นทรัพยสิทธิโดยอายุความปรปักษ์  เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา  1304(1)  ซึ่งห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดิน  ตามมาตรา  1306

ดังนั้น  เมื่อทางราชการได้ล้อมรั้วเพื่อก่อสร้างสถานที่ราชการตรงที่ดินแปลงนั้น  สมัครจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้ทางราชการเปิดเส้นทางให้สมัครสามารถใช้ถนนผ่านเข้าออกได้เช่นเดิมโดยอ้างว่าที่ดินดังกล่าวตกเป็นภาระจำยอมแล้วไม่ได้

สรุป  ข้ออ้างของสมัครรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  จิ๋วซื้อรถยนต์คันหนึ่งในราคา  250,000  บาท  จากเหวงซึ่งเป็นช่างซ่อมรถยนต์ของอู่ซ่อมรถยนต์แห่งหนึ่ง  โดยจิ๋วไม่รู้ว่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นของเบิ้มที่ถูกคนร้ายขโมยไปขายให้กับเหวงในราคา  150,000  บาท  และจิ๋วได้จ้างเหวงเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเครื่องยนต์เบนซินเป็นเครื่องยนต์ดีเซลอีกในราคา  30,000  บาท  หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจจับคนร้ายได้  และทราบว่ารถยนต์ของกลางอยู่ที่จิ๋ว เบิ้มจึงเรียกให้จิ๋วส่งมอบรถยนต์คืนให้ตน  แต่จิ๋วต่อสู้ว่าตนซื้อรถยนต์มาโดยสุจริต  ถ้าเบิ้มต้องการรถยนต์คืน  เบิ้มต้องจ่ายเงินให้จิ๋วตามราคาที่จิ๋วซื้อมาและค่าเปลี่ยนเครื่องรถยนต์เป็นเงิน  280,000  บาทก่อน

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  จิ๋วจะต้องคืนรถยนต์ให้เบิ้มหรือไม่  และจิ๋วจะเรียกร้องอะไรจากเบิ้มได้บ้าง  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1316  ถ้าเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ไซร้  ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของรวมแห่งทรัพย์ที่รวมเข้ากัน  แต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อื่น

ถ้าทรัพย์อันหนึ่งอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธานไซร้  ท่านว่าเจ้าของทรัพย์นั้นเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันแต่ผู้เดียว  แต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อื่นๆ  ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้นๆ

มาตรา  1332  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

วินิจฉัย

โดยหลัก  การซื้อทรัพย์สินที่จะอยู่ภายใต้บังคับมาตรา  1332  อันจะทำให้บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินได้รับการคุ้มครองนั้น  ต้องเป็นการซื้อโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของเอกชน  หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์  จิ๋วซื้อรถยนต์คันหนึ่งจากเหวงซึ่งเป็นช่างซ่อมรถยนต์ของอู่ซ่อมรถยนต์แห่งหนึ่งในราคา  250,000  บาท  ซึ่งมิใช่เป็นการซื้อจากการขายทอดตลาดของเอกชน  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  จิ๋วผู้ซื้อจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  1332  แม้จิ๋วจะซื้อโดยสุจริตเพราะไม่รู้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของเบิ้มที่ถูกคนร้ายขโมยไปขายให้กับเหวงในราคา  150,000  บาทก็ตาม  ดังนั้นจิ๋วจะต้องคืนรถยนต์ให้แก่เบิ้มและไม่สามารถเรียกให้เบิ้มจ่ายเงิน  250,000  บาท  ตามราคาที่จิ๋วซื้อมาได้

ส่วนกรณีที่จิ๋วได้จ้างเหวงเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเครื่องยนต์เบนซินเป็นเครื่องยนต์ดีเซลในราคา  30,000  บาทนั้น  เป็นกรณีที่เอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบตามมาตรา  1316  วรรคแรก  โดยมีรถยนต์เป็นทรัพย์ประธานและเครื่องยนต์ดีเซลเป็นส่วนควบ  ดังนั้น  เบิ้มซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์จึงเป็นเจ้าของเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งเป็นส่วนควบนั้นด้วย  แต่เบิ้มจะต้องชดใช้เงินค่าเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน  30,000  บาท  ให้กับจิ๋วตามมาตรา  1316  วรรคสอง

สรุป  จิ๋วจะต้องคืนรถยนต์ให้กับเบิ้ม  และมีสิทธิเรียกให้เบิ้มชดใช้เงินได้แต่เฉพาะค่าเครื่องยนต์ดีเซลจำนวน  30,000  บาทเท่านั้น

 

ข้อ  3  เมื่อวันที่  5  มกราคม  2540  คำปันได้นำพนักงานที่ดินรังวัดเพื่ออกโฉนดโดยผนวกที่ดิน  น.ส.3  ของคำม่วนซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของคำปัน  เพราะเห็นว่าคำม่วนไม่ได้ดูแลหรือทำประโยชน์ในที่ดินนั้นอย่างจริงจัง

โดยคำปันเริ่มเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของคำม่วนนับแต่วันที่นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัด  ทางราชการออกโฉนดให้คำปันวันที่  1  ตุลาคม  2540  ต่อมาวันที่  10  มกราคม  2541  คำม่วนได้ไปขอรังวัดเพื่อออกโฉนดบ้าง  คำม่วนจึงรู้ว่าคำปันออกโฉนดทับที่ดินของตน  คำม่วนจึงเจรจาขอที่ดินคืนจากคำปัน  แต่คำปันปฏิเสธไม่ยอมคืนโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนแล้ว  หลังจากนั้นวันที่  1 มิถุนายน  2542  คำม่วนจึงฟ้องศาลเพื่อเรียกคืนที่ดินพิพาทจากคำปัน

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  คำม่วนจะฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาทได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1375  ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า  ซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น  ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง 

วินิจฉัย

โดยหลัก  ถ้าผู้ถูกครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  กฎหมายให้สิทธิผู้ครอบครองฟ้องเรียกคืนซึ่งการครอบครองได้ภายใน  1  ปี  นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง  โดยไม่คำนึงว่าผู้ครอบครองจะทราบว่าถูกแย่งการครอบครองหรือไม่  และไม่คำนึงว่าผู้ครอบครองได้โต้แย้งการครอบครองหรือไม่ตามมาตรา  1375

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่คำปันนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดโดยผนวกที่ดิน  น.ส.3  ของคำม่วนซึ่งมีเพียงสิทธิครอบครองไปด้วย  ซึ่งคำปันได้เริ่มเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของคำม่วน  นับแต่วันที่นำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดคือวันที่  5  มกราคม  2540  นั้น  กรณีเช่นนี้ถือว่าคำปันได้เข้ายึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนแล้ว  คำปันจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดิน  น.ส.3  ของคำม่วนตามมาตรา  1367  และกรณีนี้ยังถือว่าคำปันได้แย่งการครอบครองที่ดิน  น.ส.3  ของคำม่วนด้วยตามมาตรา  1375  วรรคแรก  โดยทางราชการได้ออกโฉนดให้คำปันในวันที่  1  ตุลาคม  2540

ต่อมาวันที่  10  มกราคม  2541  คำม่วนได้ไปขอรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนด  จึงรู้ว่าคำปันแย่งสิทธิครอบครองที่ดินของตน  คำม่วนจึงเจรจาขอที่ดินคืนจากคำปัน  ซึ่งกรณีนี้เป็นเพียงการโต้แย้งผู้แย่งการครอบครองเท่านั้น  ดังนั้น  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  คำม่วนได้ฟ้องศาลเพื่อเรียกที่ดินพิพาทคืนจากคำปันในวันที่  1  มิถุนายน  2542  ซึ่งเกิน  1  ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครอง  คำม่วนจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่พิพาทจากคำปันตามมาตรา  1375  วรรคสอง

สรุป  คำม่วนจะฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาทจากคำปันไม่ได้

 

ข้อ  4  ป้อมตั้งแผงขายผลไม้อยู่ในที่ดินของแก่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแก่น  และต้องการเพียงใช้เป็นที่ขายผลไม้โดยไม่มีเจตนาจะยึดเป็นเจ้าของแต่อย่างใด  ป้อมใช้พื้นที่ดังกล่าวขายผลไม้ติดต่อกันได้  10  กว่าปีแล้ว  แก่นจึงแจ้งให้ป้อมย้ายออกไปจากที่ดินของตน  แต่ป้อมอ้างว่าตนใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นเวลากว่า  10  ปีแล้ว  จึงได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของแก่น  และเรียกให้แก่นไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้ป้อม  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างของป้อมที่ว่าได้ภาระจำยอมแล้วรับฟังได้หรือไม่  และป้อมจะเรียกให้แก่นจดทะเบียนภาระจำยอมให้กับตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1401  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  3  แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

โดยหลัก  การได้ภาระจำยอมโดยอายุความ  เป็นการได้ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  ซึ่งตามมาตรา 1401  บัญญัติให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิตามมาตรา  1382  มาใช้บังคับโดยอนุโลม  กล่าวคือ  ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นโดยความสงบ  เปิดเผย  และเจตนาเป็นเจ้าของและครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี

แต่อย่างไรก็ตาม  ภาระจำยอมจะเกิดมีขึ้นได้ก็เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นซึ่งเรียกว่าสามยทรัพย์เท่านั้น  ตามมาตรา  1387  ดังนั้น  ถ้าเป็นการใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวแม้จะใช้ติดต่อกันนานเกินกว่า  10  ปี  ก็ไม่ทำให้เกิดภาระจำยอมโดยอายุความขึ้นได้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ป้อมตั้งแผงขายผลไม้อยู่ในที่ดินของแก่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแก่นและต้องการเพียงใช้เป็นที่ขายผลไม้โดยไม่มีเจตนาจะยึดถือเป็นเจ้าของแต่อย่างใด  จึงไม่ใช่เป็นการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  เพราะป้อมไม่มีเจตนาเป็นเจ้าของ

และการที่ป้อมใช้ที่ดินของแก่นเพื่อตั้งแผงขายผลไม้ก็ไม่ใช่เป็นการใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น  แม้จะมีการใช้ที่ดินเพื่อขายผลไม้ติดต่อกันนานเกินกว่า  10  ปีแล้ว  ที่ดินของป้อมก็ไม่ได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของแก่นโดยอายุความปรปักษ์ตามมาตรา  1401 ประกอบมาตรา  1382  และมาตรา  1387

สรุป  ข้ออ้างของป้องที่ว่าได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของแก่นแล้วรับฟังไม่ได้  และป้อมจะเรียกให้แก่นจดทะเบียนภาระจำยอมให้กับตนไม่ได้เช่นกัน

Advertisement