การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา LW 203 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1  นิติกรรมที่กฎหมายบังคับว่า  จะต้องทำเป็นหนังสือแตกต่างจากนิติกรรมที่จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างไร  ให้อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  152  การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้การนั้นเป็นโมฆะ

อธิบาย  นิติกรรมที่กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือนั้นคือ  นิติกรรมที่กฎหมายบังคับไว้ให้ทำในลักษณะของแบบบังคับนั้นเองและหากเป็นแบบบังคับแล้ว  ผลตามกฎหมายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  152  คือ  ถ้าผู้ทำนิติกรรมมิได้ทำตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้นั้น  นิติกรรมนั้นก็จะตกเป็นโมฆะ

นิติกรรมที่ต้องทำเป็นหนังสือ  หมายถึง  นิติกรรมที่ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร  โดยลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย  จะมีเพียงหลักฐานเป็นหนังสือไม่ได้  ทั้งนี้การทำเป็นหนังสือที่ต้องลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายนี้  ไม่มีบทบัญญัติใดระบุว่าคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายจะต้องลงชื่อในวันทำสัญญานั้น

ตัวอย่างเช่น  สัญญาเช่าซื้อ  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  572  วรรคสอง  ที่กำหนดให้สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ  หมายถึงว่าเจ้าของทรัพย์สินผู้ให้เช่าซื้อและผู้เช่าซื้อจะต้องลงลายมมือชื่อในหนังสือสัญญาเช่าซื้อด้วยกันทั้งสองฝ่าย  สัญญาเช่าซื้อจึงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ดังนั้นหากสัญญาเช่าซื้อใดตกลงด้วยวาจา  หรือในกรณีที่มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อ  แต่ผู้ให้เช่าซื้อหรือผู้เช่าซื้อแต่เพียงฝ่ายเดียวลงลายมือชื่อในสัญญา  ถือได้ว่ามิได้ทำตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  ตามมาตรา  572  วรรคสอง  สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ

สำหรับลักษณะของการทำหลักฐานเป็นหนังสือนั้นคือ  การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร  มีข้อความทุกอย่างของนิติกรรมประเภทนั้นครบถ้วน  มีลายมือชื่อของคู่สัญญาฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ทั้งหมดนี้ไม่จำต้องมีหรือได้ทำขึ้นในขณะที่ทำนิติกรรม

นิติกรรมที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  เป็นเพียงนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเพื่อใช้ในการฟ้องร้องและต้องมีลายมือชื่อของผู้รับผิด  แม้นิติกรรมนั้นกฎหมายจะกำหนดให้ต้องมีหลักฐาน  แม้จะไม่มีหลักฐานในขณะทำนิติกรรม  นิติกรรมนั้นก็เป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการเพียงแต่คู่กรณีจะฟ้องกันโดยที่ไม่มีหลักฐานนั้นไม่ได้

ตัวอย่างเช่น  สัญญากู้ยืมเงิน  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคแรก  ที่กำหนดว่าการกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  แสดงให้เห็นชัดอยู่ในตัวว่าบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับว่าต้องทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือ  เหมือนเช่นสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวข้าง  ต้นแต่อย่างใด  เพียงแต่หากประสงค์จะฟ้องร้องบังคับคดีในชั้นศาล  คู่สัญญาจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  จึงจะฟ้องร้องกันได้  ดังนั้นในขณะทำสัญญากู้ยืมเงินกัน  เมื่อมีการส่งมอบเงินที่ยืมให้ผู้กู้ยืมแล้ว  สัญญากู้ยืมเงินย่อมสมบูรณ์ตามกฎหมาย  แม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือก็ตาม  และทั้งนี้หลังจากรับมอบเงินแล้ว  คู่สัญญาจะทำสัญญากู้ยืมเงินกันในภายหลังเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องก็ได้

อย่างไรก็ดีข้อแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ  นิติกรรมที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ต้องมีลายมือชื่อของฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญเท่านั้น  แม้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะมิได้ลงลายมือชื่อ  ก็ไม่ทำให้หลักฐานเป็นหนังสือนั้นเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  152  เพราะนิติกรรมที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมิใช่แบบของนิติกรรมที่กฎหมายบังคับไว้ให้ต้องทำเป็นหนังสือนั่นเอง

 


ข้อ  2  นายทำใจเจ้าของที่ดินตกลงทำนิติกรรมจะซื้อขายที่ดินชายทะเล  จำนวน  120  ไร่  ให้แก่นายทำดี  ต่อมาปรากฏว่า  ทางราชการได้ประกาศว่าจะมีโครงการตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าวซึ่งจะทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้น  นายทำใจรู้สึกเสียดายที่ดินของตน  นายทำใจจึงไปทวงที่ดินคืนจากนายทำดี  โดยอ้างว่า  “นิติกรรมจะซื้อขายที่ดินที่ตนทำกับนายทำดีเป็นโมฆียะ  

เพราะนายทำดีนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงเกี่ยวกับโครงการจะตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าว  ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของนายทำดีที่จะต้องบอกให้ตนทราบ  ตนจึงขอบอกล้างนิติกรรมดังกล่าว  ดังนี้อยากทราบว่าการแสดงเจตนาทำนิติกรรมจะซื้อขาย ที่ดินระหว่างนายทำใจกับนายทำดีมีผลทางกฎหมายเป็นอย่างไร  และข้ออ้างของนายทำใจฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบายธงคำตอบ

มาตรา  162  ในนิติกรรมสองฝ่าย  การที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งจงใจนิ่งเสียไม่แจ้งข้อความจริงหรือคุณสมบัติอันคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งมิได้รู้  การนั้นจะเป็นฉ้อฉล  หากพิสูจน์ได้ว่าถ้ามิได้นิ่งเสียเช่นนั้น  นิติกรรมนั้นก็คงมิได้กระทำขึ้น

วินิจฉัย

การแสดงเจตนาเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลโดยการนิ่ง  ตามมาตรา  162  มีหลักเกณฑ์อันจะทำให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ  ประกอบด้วย

1       เป็นนิติกรรมสองฝ่าย

2       จงใจนิ่งเสีย  ไม่แจ้งข้อความจริงหรือคุณสมบัติอันคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งมิได้รู้  โดย

(ก)  คู่กรณีฝ่านั้นมีหน้าที่ๆจะต้องบอกความจริง  หรือ

(ข)  มีพฤติการณ์อันแสดงออกทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจผิด

3       ถึงขนาดว่าถ้ามิได้นิ่งเสียเช่นนั้น  นิติกรรมนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้นกรณีตามอุทาหรณ์  การแสดงเจตนาของนายทำใจเจ้าของที่ดินที่ตกลงทำนิติกรรมจะซื้อขายที่ดินกับนายทำดีดังกล่าว  มีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้  และข้ออ้างของนายทำใจผู้จะขายฟังไม่ขึ้น  เพราะแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่านิติกรรมดังกล่าวเป็นนิติกรรมสองฝ่าย  และนายทำดีผู้จะซื้อจงใจนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงเกี่ยวกับโครงการจะตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าวก็ตาม  ซึ่งนายทำใจผู้จะขายมิได้รู้มาก่อนและถ้าฝ่ายนายทำดีผู้จะซื้อมิได้นิ่งเสียเช่นนั้น  สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินก็มิได้ทำขึ้น  แต่การที่นายทำดีผู้จะซื้อนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงเกี่ยวกับโครงการจะตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าวหรือไม่  มิใช่หน้าที่ของนายทำดีผู้จะซื้อที่จะต้องบอกกล่าวข้อความจริงดังกล่าว  หากแต่เป็นหน้าที่ของนายทำใจผู้จะขายที่ดินที่จะต้องขวนขวายแสวงหาความจริงเอาเอง  ดังนั้นการกระทำของนายทำดีผู้จะซื้อจึงไม่เป็นกลฉ้อฉลโดยการนิ่ง  ตามมาตรา  162  เพราะนายทำดีไม่มีหน้าที่บอกกล่าวความจริง  สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์  (ฎ. 1131/2532)

สรุป  การแสดงเจตนาทำนิติกรรมดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  และข้ออ้างของนายทำใจฟังไม่ขึ้น

 


ข้อ  3  นางสาวเก่งเรียน  นักศึกษาปี  3  คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ได้ตกลงทำสัญญาเช่าบ้านกับนายสาคร  1  หลัง  เพื่อเรียนหนังสือ  โดยทำสัญญาเช่ากันในวันที่  29  กุมภาพันธ์  2551  มีกำหนดระยะเวลาการเช่ากัน  1  ปี  ดังนี้อยากทราบว่า

ก.      สัญญาเช่าบ้านของนางสาวเก่งเรียนจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

ข.      เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง  ปรากฏว่านางสาวเก่งเรียนจบการศึกษาพอดี  แต่นางสาวเก่งเรียนต้องการอยู่ต่อเพื่อรอรับพระราชทานปริญญาบัตร  นางสาวเก่งเรียนจึงขอเช่าบ้านนายสาครต่อออกไปอีก  1  เดือนครึ่ง  โดยนายสาครยินยอมและมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป  ระยะเวลาเช่าที่ขยายออกไปจะสิ้นสุดลงเมื่อใดหมายเหตุ  เดือนกุมภาพันธ์  ปี  พ.ศ. 2551  มี  29  วัน

ธงคำตอบ

มาตรา  193/3  ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นหน่วยเวลาที่สั้นกว่าวัน  ให้เริ่มต้นนับในขณะที่เริ่มการนั้น

ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน  สัปดาห์  เดือนหรือปี  มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน  เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานตามประเพณี

มาตรา  193/5  ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นสัปดาห์  เดือน  หรือปี  ให้คำนวณตามปีปฏิทิน

ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์  วันต้นแห่งเดือนหรือปี  ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์  เดือน  หรือปีสุดท้าย  อันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น  ถ้าระยะเวลานับเป็นเดือนหรือปีนั้น  ไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย  ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้น เป็นวันสิ้นสุดระยะเวลา

มาตรา  193/6  ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นเดือนและวัน   หรือกำหนดเป็นเดือนและส่วนของเดือนให้นับจำนวนเดือนเต็มก่อน  แล้วจึงนับจำนวนวันหรือส่วนของเดือนเป็นวัน

ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นส่วนของปี  ให้คำนวณส่วนของปีเป็นเดือนก่อนหากมีส่วนของเดือนให้นับส่วนของเดือนเป็นวัน

การคำนวณส่วนของเดือนตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง  ให้ถือว่าเดือนหนึ่งมีสามสิบวัน

มาตรา  193/7  ถ้ามีการขยายระยะเวลาออกไปโดยมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป  ให้นับวันที่ต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มต้น

วินิจฉัย

(ก)  นางสาวเก่งเรียนนักศึกษาปี  3  คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ได้ตกลงทำสัญญาเช่าบ้านกับนายสาคร  โดยทำสัญญาเช่ากันในวันที่  29  กุมภาพันธ์  2551  มีกำหนดระยะเวลาการเช่า  1  ปี  การเริ่มต้นนับระยะเวลามิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน  ให้เริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้น  คือ  วันที่  1  มีนาคม  2551  ตามมาตรา  193/3  วรรคสองซึ่งวันที่  1  มีนาคม  2551  เป็นวันเริ่มนับมิใช่วันต้นแห่งปี  คือ  วันที่  1  มกราคม  2551    เพราะฉะนั้นกำหนดระยะเวลา  1  ปี  น่าจะสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงเดือนสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น  คือ  วันที่  29  กุมภาพันธ์  2552  ตามมาตรา  193/5  วรรคสอง  แต่เนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์ในปี  พ.ศ.  2552  มีเพียง   28  วันเท่านั้น  ดังนั้นวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์คือ  วันที่  28  กุมภาพันธ์  2552  จึงเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาเช่าบ้านของนางสาวเก่งเรียน  ตามาตรา  193/5  วรรคสองตอนท้าย

(ข)  เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง  แต่นางสาวเก่งเรียนได้ขอเช่าบ้านนายสาครต่อออกไปอีก  1  เดือนครึ่ง  โดยนายสาครยินยอมและมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป  ระยะเวลาที่ขยายจึงต้องเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่  1  มีนาคม  2552  อันเป็นวันต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มต้น  ตามมาตรา  193/7แต่เนื่องจากระยะเวลาการเช่าบ้านที่ขยายออกไปอีกเดือนครึ่งดังกล่าว  ถือว่าการขยายระยะเวลากรณีนี้เป็นระยะเวลาที่กำหนดเป็นเดือนและส่วนของเดือน  ดังนั้นการคำนวณระยะเวลาในกรณีนี้จึงต้องนับจำนวนเดือนเต็มก่อน  แล้วจึงนับส่วนของเดือนเป็นวันในภายหลัง  กล่าวคือ  ให้คำนวณระยะเวลาขยายออกไปอีก  1  เดือนเต็มก่อน  เมื่อวันที่เริ่มต้นนับคือวันที่  1  มีนาคม  2552  ตามาตรา  193/7  ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงตรงกับวันที่  31  มีนาคม  2552  ตามาตรา  193/5  วรรคแรก  หลังจากนั้นจึงจะนับส่วนของเดือน  คือ  ครึ่งเดือนซึ่งเท่ากับ  15  วัน  เพราะ  1  เดือนมี  30  วันเท่ากันหมด  ตามมาตรา  193/6  วรรคแรกและวรรคสาม  จึงต้องนับระยะเวลาต่อออกไปอีก  15  วัน  ระยะเวลาของสัญญาเช่าที่ขยายออกไปย่อมสิ้นสุดลงในวันที่  15  เมษายน  2552

ดังนั้นระยะเวลาการเช่าที่ขยายออกไปอีกเดือนครึ่งจึงสิ้นสุดลงในวันที่  15  เมษายน  2552

สรุป  (ก)  สัญญาเช่าบ้านของนางสาวเก่งเรียนจะสิ้นสุดลงในวันที่  28  กุมภาพันธ์  2552

(ข)  ระยะเวลาการเช่าที่ขยายออกไปอีกเดือนครึ่งสิ้นสุดลงในวันที่  15  เมษายน  2552 

 


ข้อ  4  นายอิ่มอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี  ได้โทรศัพท์ไปหานายอดเพื่อนสนิท  และนายอิ่มได้พูดเสนอขายรถยนต์  1  คัน  ให้นายอดในราคา  
400,000  บาท  ในระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์  แต่นายอดไม่ได้ตอบกลับมาทันทีว่าจะซื้อหรือไม่อย่างไร  นายอิ่มเห็นนายอดไม่สนใจรถยนต์ของตน  เมื่อกลับถึงบ้านนายอิ่มได้ส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์คันดังกล่าว  ให้นายอี๊ดซึ่งอยู่จังหวัดสมุทรสาครในราคาเท่ากัน  กับที่เสนอขายนายอด  โดยนายอิ่มได้กำหนดไปในจดหมายด้วยว่า  ถ้านายอี๊ดต้องการซื้อรถยนต์ของตน  ต้องสนองตอบกลับมาภายในวันที่  20  พฤษภาคม  2551  ปรากฏว่าเมื่อถึงวันที่กำหนดคือ  วันที่  20  พฤษภาคม  2551  แล้วนายอี๊ดก็มิได้สนองตอบกลับมาแต่อย่างใด  จะมีก็แต่จดหมายคำสนองของนายอดที่ตอบกลับมายังนายอิ่มว่าตนตกลงซื้อรถยนต์ของนายอิ่มที่เสนอขาย  ดังนี้อยากทราบว่า  ถ้านายอิ่มเปลี่ยนใจไม่ต้องการขายรถยนต์ของตนให้กับนายอดและนายอี๊ด  นายอิ่มจะทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  354  คำเสนอจะทำสัญญาอันบ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองนั้น  ท่านว่าไม่อาจจะถอนได้ภายในระยะเวลาที่บ่งไว้

มาตรา  356  คำเสนอทำแก่บุคคลผู้อยู่เฉพาะหน้า  โดยมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองนั้นเสนอ  ณ  ที่ใดเวลาใดก็ย่อมจะสนองรับได้แต่  ณ  ที่นั้นเวลานั้น  ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงการที่บุคคลคนหนึ่งทำคำเสนอไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งทางโทรศัพท์ด้วย

มาตรา  357  คำเสนอใดเขาบอกปัดไปยังผู้เสนอแล้วก็ดี  หรือมิได้สนองรับภายในเวลากำหนดดังกล่าวมาในมาตราทั้งสามก่อนนี้ก็ดี  คำเสนอนั้นท่านว่าเป็นอันสิ้นความผูกพันแต่นั้นไป

มาตรา  360  บทบัญญัติแห่งมาตรา  169  วรรคสองนั้น  ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าหากว่าขัดกับเจตนาอันผู้เสนอได้แสดง  หรือหากว่าก่อนจะสนองรับนั้น  คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ

วินิจฉัย

กรณีแรก  การที่นายอิ่มซึ่งอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี  ได้โทรศัพท์ไปหานายอดเพื่อนสนิทและนายอิ่มได้พูดเสนอขายรถยนต์ให้นายอดระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์  ถือได้ว่านายอิ่มได้ทำคำเสนอต่อบุคคลซึ่งอยู่เฉพาะหน้าโดยมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง  ตามาตรา  356  ซึ่งสัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเป็นสัญญาขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนายอดได้ทำคำสนองกลับมาทันที  ณ  ที่นั้นเวลานั้น  แต่เนื่องจากว่านายอดผู้รับคำสนองมิได้ทำคำสนองกลับมาเป็นจดหมายในภายหลังนั้นก็ตาม  ก็หาทำให้คำเสนอที่สิ้นผลผูกพันไปแล้วกลับมามีผลอีกไม่  สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายอิ่มและนายอดก็หาอาจเป็นสัญญาได้ไม่  ดังนั้นนายอิ่มสามารถเปลี่ยนใจไม่ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้นายอดได้

กรณีที่สอง  การที่นายอิ่มส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์คันดังกล่าว  ให้นายอี๊ดซึ่งอยู่จังหวัดสมุทรสาคร  โดยนายอิ่มได้กำหนดไปในจดหมายด้วยว่า  ถ้านายอี๊ดต้องการซื้อรถยนต์ของตน  ต้องสนองตอบกลับมาภายในวันที่  20  พฤษภาคม  2551  ถือได้ว่านายอิ่มได้ทำคำเสนอต่อบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง  โดยได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง  ตามาตรา  354  ถ้านายอิ่มเปลี่ยนใจไม่ขายรถยนต์ของตน  นายอิ่มก็สามารถทำได้อยู่แล้วโดยผลทางกฎหมาย  กล่าวคือ  สัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจะเกิดเป็นสัญญาขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนายอี๊ดได้ทำคำสนองกลับไปถึงนายอิ่มผู้ทำคำเสนอภายในระยะเวลาที่บ่งไว้คือ  ภายในวันที่  20  พฤษภาคม  2551  ตามมาตรา  360  แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงวันที่กำหนด  คือ  วันที่  20  พฤษภาคม  2551  แล้ว  นายอี๊ดก็มิได้ทำคำสนองกลับมาแต่อย่างใด  ดังนี้ถือได้ว่าคำเสนอของนายอิ่มเป็นอันสิ้นผลผูกพันนับแต่เวลาที่ นายอี๊ดผู้รับคำเสนอมิได้ทำคำสนองรับมาภายในระยะเวลาที่บ่งไว้ดังกล่าวข้าง ต้น  ตามาตรา  357  สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายอิ่มและนายอี๊ดก็หาอาจเกิดเป็นสัญญาได้ไม่  ดังนั้น  นายอิ่มสามรถเปลี่ยนใจไม่ขายรถยนต์ของตนให้แก่นายอี๊ดได้  ตั้งแต่วันที่  20  พฤษภาคม  2551

สรุป  นายอิ่มสามารถเปลี่ยนใจไม่ขายรถยนต์ของตนให้กับนายอดและนายอี๊ดได้

Advertisement