การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW  1003  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  ก.  การแสดงเจตนาซึ่งกระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถมีผลในกฎหมายประการใด  ให้อธิบายโดยสังเขป

ข.      
นายแดงซึ่งเป็นผู้เยาว์ซื้อรถจักรยานยนต์คันหนึ่งจากนายเขียวราคา  30,000  บาท  โดยได้รับความยินยอมจากนายดำซึ่งเป็นบิดาของนายแดงแล้ว  ในวันทำสัญญาซื้อขาย  นายเขียวได้ส่งมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่นายแดง  และนายแดงได้วางมัดจำให้ไว้แก่นายเขียว  5,000  บาท  กำหนดชำระราคาส่วนที่ยังค้างอยู่ในวันที่  15  มีนาคม  2549  
เมื่อถึงกำหนด  นายแดงไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายเขียว  นายเขียวได้บอกกล่าวเตือนแล้ว  แต่นายแดงก็ยังไม่นำเงินไปชำระ  นายเขียวจึงบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ไปยังนายแดงโดยนายดำบิดาของนายแดงไม่ทราบเรื่องการบอกเลิกสัญญาดังกล่าวนี้แต่อย่างใด  เช่นนี้  การบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ที่นายเขียวกระทำต่อนายแดงมีผลในกฎหมายอย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก.

มาตรา  170  การแสดงเจตนาซึ่งกระทำต่อผู้เยาว์  หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ  จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับการแสดงเจตนาไม่ได้  เว้นแต่ผู้แทนโดยชอบธรรม  ผู้อนุบาล  หรือผู้พิทักษ์  แล้วแต่กรณีของผู้รับการแสดงเจตนานั้นได้รู้ด้วย  หรือได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแล้ว

ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับ  ถ้าการแสดงเจตนานั้นเกี่ยวกับการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์หรือคนเสมือนไร้ความสามารถกระทำได้เองโยลำพัง

วินิจฉัย

จากหลักกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า  การแสดงเจตนาซึ่งกระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถมีผลในกฎหมายดังนี้

หลักทั่วไป  ผู้แสดงเจตนาจะยกเอาการแสดงเจตนานั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับการแสดงเจตนาซึ่งเป็นผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถนั้นไม่ได้

เว้นแต่

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรม  ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์  แล้วแต่กรณีของผู้รับการแสดงเจตนานั้นได้รู้ด้วยหรือได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแล้ว  คำว่า  ได้รู้ด้วย  หมายถึง  ได้รู้เนื้อความแห่งการแสดงเจตนานั้นด้วย

(2) การแสดงเจตนานั้นเกี่ยวกับการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์หรือคนเสมือนไร้ความสามารถกระทำได้เองโดยลำพังข   วินิจฉัย

นายเขียวแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ไปยังนายแดง  ซึ่งเป็นผู้เยาว์โดยนายดำซึ่งเป็นบิดาของนายแดงไม่ทราบเรื่องการบอกเลิกสัญญาดังกล่าวนี้  จึงเป็นกรณีแสดงเจตนาต่อผู้เยาว์โดยผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์มิได้รู้ด้วยและมิได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแล้วแต่อย่างใด  กรณีจึงต้องตามหลักทั่วไปของหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น  ดังนั้น  นายเขียวจะยกเอาการบอกเลิกสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ขึ้นต่อสู้นายแดงไม่ได้

 

ข้อ  2  จากสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน  ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หลายๆบริษัทตกอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงบริษัทที่นาย  ก.  มีหุ้นอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง  ด้วยความสำคัญผิดคิดว่า  บริษัทกำลังประสบปัญหาการขาดทุนกิจการไม่ดี  นาย  ก.  จึงบอกขายหุ้นของตนทั้งหมดให้แก่นาย  ข.  ในราคาถูก  นาย  ข.  รู้ความจริงว่าบริษัทกำลังเจริญก้าวหน้าและมีการเปลี่ยนแปลง  เมื่อนำบริษัทไปสู่ระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่สุดแต่ไม่บอกให้นาย  ก.  รู้  และได้ตกลงซื้อหุ้นของนาย  ก.  ไว้    

ต่อมาภายหลังนาย  ก.  รู้ว่าบริษัทไม่ได้ประสบปัญหาดังที่สำคัญผิดแต่อย่างใด  และรู้ว่านาย  ข.  ปกปิดไม่บอกความจริงเกี่ยวกับบริษัทแก่ตน  นาย  ก.  จึงมาบอกล้างสัญญาซื้อขายหุ้นโดยอ้างว่า  นาย  ข.  ใช้กลฉ้อฉลโดยการนิ่ง

ดังนี้  ข้ออ้างของนาย  ก.  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  162  ในนิติกรรมสองฝ่าย  การที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งจงใจนิ่งเสียไม่แจ้งข้อความจริงหรือคุณสมบัติอันคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งมิได้รู้  การนั้นจะเป็นกลฉ้อฉลหากพิสูจน์ได้ว่า  ถ้ามิได้นิ่งเสียเช่นนั้น  นิติกรรมนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้น

วินิจฉัย

การที่นาย  ก.  ขายหุ้นให้นาย  ข.  ด้วยความสำคัญผิดคิดว่าบริษัทกำลังประสบปัญหาการขาดทุนและนาย  ข.  ซื้อไว้  แม้นาย  ข.  จะรู้ความจริงว่าบริษัทกำลังเจริญก้าวหน้ามิได้ประสบปัญหาดังกล่าวแล้วจงใจนิ่งเสียไม่แจ้งข้อความจริงนี้ให้นาย  ก  ได้รู้  ก็มิใช่หน้าที่ของนาย  ข  ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ตามกฎหมายหรือหน้าที่ตามขนบธรรมเนียมประเพณีประกอบด้วยศีลธรรมอันดีในพฤติการณ์ที่จะต้องแจ้งความจริงแต่อย่างใด  กรณีจึงมิใช่กลฉ้อฉลโยการนิ่ง

ดังนั้น  ข้ออ้างของนาย  ก  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  เมื่อวันที่  15  กันยายน  2546  นายอาทิตย์ได้เข้ารักษาตัวด้วยโรคถุงลมโป่งพองที่โรงพยาบาลรามคำแหง  เสียค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินจำนวน  100,000  บาท  นายอาทิตย์ออกจากโรงพยาบาลวันที่  22  กันยายน  2546  โดยไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล  ทางโรงพยาบาลจึงให้นายอาทิตย์ค้างชำระเงินค่ารักษาพยาบาลไว้ก่อน  แต่หลังจากนั้นก็ได้ทวงถามตลอดมา  แต่นายอาทิตย์ก็มิได้นำเงินมาชำระให้  

จนกระทั่งวันที่  18  กันยายน  2548  ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง  4  วันจะครบกำหนดอายุความ  2  ปี  นายอาทิตย์ได้ให้สัญญาว่าจะนำสร้อยคอทองคำหนักสองสลึงราคาประมาณห้าพันบาทเศษมามอบให้กับทางโรงพยาบาลในวันที่  20  กันยายน  2548  เพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้  แต่พอถึงกำหนดก็ไม่นำมามอบให้อีก  ทางโรงพยาบาลจึงได้มอบให้นายจันทร์ทนายความของโรงพยาบาลนำคดีไปฟ้องศาลในวันที่  13  มีนาคม  2549  นายอาทิตย์ต่อสู้คดีว่าคดีขาดอายุความแล้ว

อยากทราบว่าข้อต่อสู้ของนายอาทิตย์ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

หมายเหตุ  ป.พ.พ.  มาตรา  193/34  บัญญัติว่า  สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้  ให้มีกำหนดอายุความสองปี  (11)  เจ้าของ…สถานพยาบาล…เรียกเอาค่ารักษาพยาบาล…

ธงคำตอบ

มาตรา  193/14   อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้…ให้ประกัน…

วินิจฉัย

นายอาทิตย์ได้เป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลรามคำแหง  เป็นเงินจำนวน  100,000  บาทนายอาทิตย์จะต้องชำระค่ารักษาพยาบาลในวันที่  22  กันยายน  2546  แต่ปรากฏว่านายอาทิตย์ไม่มีเงินชำระ  ทางโรงพยาบาลจึลให้ค้างชำระค่ารักษาพยาบาลไว้ก่อน

จนกระทั่งวันที่  18  กันยายน  2548  ซึ่งเหลือเวลาอีก  4  วัน  จะครบกำหนดอายุความ  2  ปี  นายอาทิตย์ได้สัญญาว่าจะนำสร้อยคอทองคำหนักสองสลึงราคาประมาณห้าพันบาทเศษมามอบให้กับโรงพยาบาลเพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้ในวันที่  20  กันยายน  2548  แต่พอถึงกำหนดก็ไม่นำมามอบให้จึงไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง  เพราะลูกหนี้ไม่ได้ให้ประกันแก้เจ้าหนี้จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม  มาตรา  193/14(1)  นายจันทร์จะต้องนำคดีมาฟ้องศาลภายในวันที่  22  กันยายน  2548  เมื่อนายจันทร์นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่  13  มีนาคม  2549  คดีจึงขาดอายุความแล้ว

ดังนั้น  ข้อต่อสู้ของนายอาทิตย์จึงฟังขึ้น

 

ข้อ  4  นายสมบัติอยู่ที่จังหวัดลพบุรีส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์คันหนึ่งของตนให้แก่นายสุเทพซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานครในราคา  400,000  บาท  โดยระบุไปในจดหมายเสนอขายนั้นด้วยว่า  ถ้าท่านต้องการซื้อรถยนต์คันนี้  ขอให้ตอบไปยังข้าพเจ้าภายในวันที่  10  พฤศจิกายน  พ.ศ.  2548  

นายสุเทพส่งจดหมายตอบตกลงซื้อรถยนต์คันนั้นตามราคาที่นายสมบัติเสนอ  แต่จดหมายของนายสุเทพไปถึงนายสมบัติเมื่อวันที่  15  พฤศจิกายน  พ.ศ.  2548

อย่างไรก็ตามเป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายว่านายสุเทพส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่  2  พฤศจิกายน  พ.ศ.  2548  เช่นนี้  จดหมายตอบตกลงซื้อรถยนต์ที่นายสุเทพส่งถึงนายสมบัติมีผลในกฎหมายประการใด

ธงคำตอบ

มาตรา  358  ถ้าคำบอกกล่าวสนองมาถึงล่วงเวลา  แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคำบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากำหนดนั้นไซร้  ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า  เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว

ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคต้น  ท่านให้ถือว่าคำบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา

วินิจฉัย

คำสนองของนายสุเทพไปถึงนายสมบัติล่าช้ากว่าเวลาที่นายสมบัติกำหนดไว้  แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายว่านายสุเทพส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่  2  พฤศจิกายน  2548

ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะไปถึงนายสมบัติก่อนวันที่  10  พฤศจิกายน  พ3.ศ.2548  อันเป็นเวลาที่นายสมบัติกำหนดไว้  ในกรณีเช่นนี้  คำสนองของนายสุเทพจะเป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า  นายสมบัติซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่  ซึ่งในเรื่องนี้  กฎหมายกำหนดหน้าที่ของผู้เสนอไว้ว่าผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่ผู้สนองโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า  เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว  ดังนั้น

(1) ถ้านายสมบัติปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว  กฎหมายจึงจะถือว่าจดหมายคำสนองของนายสุเทพเป็นคำสนองล่วงเวลา

(2) แต่ถ้านายสมบัติละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว  กฎหมายให้ถือว่าจดหมายคำสนองของนายสุเทพเป็นคำสนองที่มิได้ล่วงเวลา  ซึ่งมีผลให้สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายสมบัติกับนายสุเทพเกิดขึ้น

Advertisement