การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายหลักกฎหมายในการอุดช่องว่างกฎหมายแพ่งมาโดยละเอียด  พร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย  หมายถึง  กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้  กล่าวคือ  ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อมาใช้ปรับแก่กรณีไม่พบ

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมาย  อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากในขณะที่ร่างกฎหมายนั้น  ผู้ร่างกฎหมายไม่คาดคิดว่าจะมีกรณีนั้นๆเกิดขึ้นมา  จึงไม่ได้บัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมถึงเหตุการณ์  หรือกรณีนั้นๆเอาไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกมีวิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ  ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนความเปลี่ยนแปลง ทางเศรษฐกิจและสังคมอาจมีผลทำให้กฎหมายลายลักษณ์อักษรก้าวไม่ทันความเจริญ ก้าวหน้าในด้านต่างๆ  จึงเกิดเป็นช่องว่างแห่งกฎหมายขึ้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่า

เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าว  ได้บัญญัติถึงขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้เป็นลำดับดังต่อไปนี้  คือ

1.  ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

กรณีนี้หมายความว่า  ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล  ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี  แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาใช้ได้และจะมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายนั้น  ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ

1.      เป็นจารีตประเพณีที่บุคลในท้องถิ่นได้ถือปฏิบัติกันทั่วไป

2.      เป็นจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลานาน

3.      เป็นจารีตประเพณีที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

4.      เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่ทราบกันทั่วไป

5.      เป็นจารีตประเพณีที่มีเหตุผลสมควรและเป็นธรรม

ตัวอย่างเช่น  จารีตประเพณีของธนาคารพาณิชย์  จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง  เป็นต้น

2.  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นให้พิจารณาโดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง  กล่าวคือ  เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้  ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน  ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน

ขั้นตอนในการพิจารณาโดยอาศัย (เทียบ) บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

1        พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีว่ามีความคล้ายคลึงกับข้อเท็จจริงที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่

2        พิจารณาถึงเหตุผลของข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่ามีเหตุผลเดียวกันหรือเหตุผลที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งหรือไม่  ถ้ามีเหตุผลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างยิ่งก็อาจเทียบเคียงกันได้

3        พิจารณากฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงว่าเป็นบททั่วไปหรือเป็นบทยกเว้น  ถ้าเป็นบททั่วไปก็อาจนำมาเทียบเคียงกันได้  แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้นก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

4        กฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงกันได้ต้องเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน  มิใช่กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ

ตัวอย่างเช่น  การขุดหลุมรับน้ำโสโครก  หลุมรับปุ๋ย  หรือหลุมรับขยะมูลฝอย  มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้  (มาตรา  1342)  แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี  มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน  เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน  ดังนั้น  จึงนำเอามาตรา  1342  มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้  เป็นต้น

3.  ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการสุดท้าย  กล่าวคือในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  ไม่มีจารีตประเพณี  และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ  ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน  หรือสุภาษิตกฎหมาย  หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้

เช่น  สัญญาต้องเป็นสัญญา  ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน  เป็นต้น

 

ข้อ  2  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สภาพบุคคลย่อมสิ้นสุดลงในกรณีใดบ้าง  ให้อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายด้วย

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  15  วรรคแรก  บัญญัติว่า  สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก  และสิ้นสุดลงเมื่อตาย

จากหลักกฎหมายดังกล่าว  จะเห็นได้ว่าสภาพบุคคลของบุคคลธรรมดานั้น  ย่อมสิ้นสุดลงเมื่อตาย  ซึ่งการตายนั้นมีได้  2  กรณี  คือการตายตามธรรมดา  และการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญซึ่งถือว่าเป็นการตายโดยผลแห่งกฎหมาย

1       การตายตามธรรมดา  หมายถึง  การที่บุคคลหมดลมหายใจ  และหัวใจหยุดเต้นนั่นเอง  ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุใดๆก็ตาม  เช่น  การที่บุคคลเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตาย  หรือประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  เป็นต้น  เพียงแต่ในปัจจุบันในทางการแพทย์นั้น  ถือว่าเมื่อแกนสมองตาย  ก็ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตายและทำให้สภาพบุคคลสิ้นสุดลงแล้ว

2       การตายโดยการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ  ตามมาตรา  61  ซึ่งแยกออกเป็น  2  กรณี  คือ

1)    การเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  ตามมาตรา  61  วรรคแรก  ซึ่งจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์  ดังนี้คือ

 1.1            บุคคลนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เป็นเวลา  5  ปี  โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีผู้ได้พบเห็นหรือนับตั้งแต่วันที่บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาไป  หรือนับแต่วันที่ได้รับข่าวคราวของบุคคลนั้นในครั้งหลังสุดเป็นต้นไป

1.2            ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  ผู้มีส่วนได้เสีย  หมายถึง  บุคคลซึ่งจะมีหรือเกิดสิทธิขึ้น  เนื่องจากคำสั่งศาล  เช่น  สามีภริยา  บิดามารดา  ลูก  หลาน  เหลน  ลื่น  ฯลฯ  ของผู้ที่ไปจากภูมิลำเนานั่นเอง

1.3            ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  และเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ  ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย  และทำให้สภาพบุคคลของบุคคลนั้นสิ้นสุดลง

ตัวอย่าง  นาย  ก  ได้เดินทางไปเที่ยวในต่างจังหวัด  และหลังจากนั้นไม่มีบุคคลใดพบเห็นหรือทราบข่าวคราวของนาย  ก  อีกเลย  ดังนี้ถ้าครบกำหนด  5  ปี  นับตั้งแต่วันที่นาย  ก  ได้หายไป  นาง  ข  ซึ่งเป็นภริยาได้ร้องขอต่อศาล  และศาลได้มีคำสั่งให้นาย  ก  เป็นคนสาบสูญแล้ว  ย่อมถือว่านาย  ก  ได้ถึงแก่ความตายโดยผลแห่งกฎหมาย  และมีผลทำให้สภาพบุคคลของนาย  ก  สิ้นสุดลง

2)    การเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ  ซึ่งหลักเกณฑ์การเป็นคนสาบสูญในกรณีพิเศษนั้น  ก็ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ  3  ประการ  เช่นเดียวกับการเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  เพียงแต่ตามมาตรา  61  วรรคสอง  ให้นับระยะเวลาลดลงมาเหลือเพียง  2  ปีเท่านั้น  โดยให้นับตั้งแต่

วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง  ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบ  หรือสงครามดังกล่าว

วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางไป  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในข้อ  (1)  และข้อ  (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

ตัวอย่าง  นาย  ก  ได้เดินทางไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน  ระหว่างการเดินทางเรือได้เจอพายุอับปางลง  ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย  และสูญหายไปเป็นจำนวนมาก  ซึ่งรวมทั้งนาย  ก  ด้วยที่ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครได้รับข่าวคราวหรือพบเห็นตัวนาย  ก  เลย  ดังนี้  ถ้านาง  ข  ภริยาของนาย  ก  จะร้องขอให้ศาลสั่งให้นาย  ก  เป็นคนสาบสูญ  นาง  ข  สามารถร้องขอได้เมื่อครบกำหนด  2  ปีนับแต่วันที่เรืออับปางลง  โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด  5  ปี  แต่อย่างใด

 

ข้อ  3  นายไก่ อายุย่าง  15  ปี  ทำพินัยกรรมขึ้น  1  ฉบับ  ยกเงินสดให้มูลนิธิสุนัขจรจัด  1  ล้านบาท  พออายุ  20  ปีบริบูรณ์  จิตฟั่นเฟือน  มารดาร้องขอต่อศาล  ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  และตั้งนางไข่มารดาเป็นผู้พิทักษ์  หลังจากนั้นนายไก่ให้เพื่อนยืมช้างไป  2  เชือก  เพื่อไปใช้ลากซุงโดยลำพัง  ผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย  ต่อมาอาการทางจิตของนายไก่หนักขึ้นถึงขั้นวิกลจริต  นางไข่ร้องขอต่อศาล  และศาลสั่งให้นายไก่เป็นคนไร้ความสามารถ  และตั้งนางไข่เป็นผู้อนุบาล  ผู้อนุบาลอนุญาตให้นายไก่ซื้อรถยนต์  1  คัน  มูลค่า  1  ล้านบาท

การทำพินัยกรรม  ให้เพื่อนยืมช้าง  ซื้อรถยนต์  ซึ่งนายไก่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา 34  คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น  ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3)   กู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงิน  ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่ามาตรา  1703  พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

1)    ตามมาตรา  25  นั้น  กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ  15  ปีบริบูรณ์  หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว  พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ  เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา  1703ตามปัญหา  การที่นายไก่ซึ่งมีอายุย่าง  15  ปี  ยังไม่ครบ  15  ปีบริบูรณ์  ได้ทำพินัยกรรมยกเงิน  1  ล้านบาท  ให้มูลนิธิสุนัขจรจัดนั้น  ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา  25  ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา  1703

2)    โดยทั่วไป  คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆได้โดยลำพังตนเอง  และมีผลสมบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา  34  เช่น  การยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน  มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะตามปัญหา  การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมช้างอันเป็นสัตว์พาหนะซึ่งถือเป็นสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  โดยมิได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์นั้น  การให้ยืมดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา  34(3)  ประกอบวรรคท้าย

3)    ตามมาตรา  29  กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆทั้งสิ้น  ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม  ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม  นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะตามปัญหา  การที่นายไก่คนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อรถยนต์นั้น  ถึงแม้การนำนิติกรรมดังกล่าวของนายไก่จะได้รับอนุญาต  คือได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม  นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  29

สรุป

1)    การทำพินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ

2)    การให้เพื่อนยืมช้างมีผลเป็นโมฆียะ

3)    การซื้อรถยนต์มีผลเป็นโมฆียะ

Advertisement