การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงแนวคิดของมองเตสกิเออร์  นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสในการจัดตั้งองค์กรต่างๆขึ้นมารองรับการใช้อำนาจอธิปไตย  พร้อมทั้งอธิบายถึงหลักการของระบบการปกครองหลักทั้ง  3  ระบบ  ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ  พร้อมยกตัวอย่างประกอบโดยสังเขป

ธงคำตอบ

มองเตสกิเออ  (Montesquieu)  เป็นนักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องของอำนาจอธิปไตยไว้ในตำราที่มีชื่อว่า  เจตนารมณ์ทางกฎหมาย  หรือ  De  l’Esprit  Lois  ซึ่งตำราเล่มนี้กล่าวว่า  อำนาจอธิปไตยที่รัฐได้รับจากประชาชนเพื่อทำการปกครองประเทศนั้นมีอยู่ด้วยกัน  3  อำนาจคือ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  ซึ่งในที่นี่หมายถึงรัฐสภา

2       อำนาจบริหาร  เป็นอำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย  ซึ่งได้แก่  ผู้บริหารหรือคณะรัฐบาล

3       อำนาจตุลาการ  เป็นอำนาจในการตัดสินใจและการพิพากษาอรรถคดี  ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจตุลาการ  ได้แก่  ศาล

ซึ่งในการจัดตั้งองค์กรขึ้นมารองรับการใช้อำนาจเหล่านี้  ควรจัดตั้งในลักษณะที่ให้มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างกันเพื่อป้องกันมิให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งมีอำนาจเหนืออำนาจอื่น และจากแนวคิดของมองเตสกิเออร์ทำให้เกิดรูปแบบของการปกครองขึ้นมา  3  ระบบ  ได้แก่  ระบบรัฐสภา  ระบบประธานาธิบดี  และระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  

ซึ่งแต่ละระบบการปกครองจะมีหลักการที่สำคัญ  ดังต่อไปนี้  คือ

ระบบรัฐสภา

ในระบบรัฐสภาก็ได้มีการคำนึงถึงการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันนี้  จึงได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรมีมาตรการที่จะล้มล้างฝ่ายบริหารได้  ล้มล้างในที่นี้คือ  ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเปิดอภิปรายฝ่ายบริหารได้อย่างเดียวเท่านั้น  รัฐธรรมนูญยังให้อำนาจฝ่ายบริหารในการที่จะโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติโดยการยุบสภาตรงนี้ก็คือแนวความคิดในเรื่องอำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจเดียวกันได้หรือการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน

ระบบประธานาธิบดี

ระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  การจัดตั้งองค์กรทั้ง  3  องค์กรนั้นมีการจัดตั้งที่เป็นอิสระจากกันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ส่งผลให้เขาบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า  เมื่อฝ่ายบริหารได้รับเลือกตั้งแล้วประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมจะต้องรอดพ้นจากการถูกขับไล่โดยการลงมติไม่ไว้วางใจจากฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา  กล่าวคือ  สภาผู้แทนราษฎรในสหรัฐอเมริกาไม่มีสิทธิเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดี  และในขณะเดียวกันฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีก็จะประกาศยุบสภาไม่ได้เช่นกัน  จึงถือว่าการถ่วงดุลอำนาจในระบบประธานาธิบดีนี้มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาด

ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี

ในระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  ประเทศฝรั่งเศสได้นำการปกครองทั้งสองระบบข้างต้นมาใช้ในการปกครองรูปแบบของตน  โดยได้นำเอาส่วนดีทั้งสองระบบมาผสมผสานกันจึงเกิดระบบการปกครองนี้ขึ้นมาโดยรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสได้บัญญัติจำแนกฝ่ายบริหารออกเป็นสองส่วนคือ

ส่วนแรก  คือ  ประธานาธิบดี  ซึ่งประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา  นั่นคือ  ไม่ต้องกลัวว่าสภาจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เหมือนกันกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

ส่วนที่สอง  คือ  คณะรัฐบาล  ได้บัญญัติให้คณะรัฐบาลต้องรับผิดต่อสภาเหมือนกันกับการปกครองในระบบรัฐสภา

เพราะฉะนั้น  ฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสอาจยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี  แต่เปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดีไม่ได้  ตรงนี้ก็คือการเอาการถ่วงดุลอำนาจของทั้งสองระบบมารวมเข้าด้วยกันนั่นเอง

 

ข้อ  2  การยุบสภาหมายถึงอะไร  และการยุบสภามีความจำเป็นและสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภาหรือไม่  อย่างไร  นอกจากนี้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันได้บัญญัติหลักเกณฑ์การยุบสภาไว้อย่างไร  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การยุบสภา  หมายถึง  การดำเนินการทางการเมืองเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งต้องพ้นจากสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรไปพร้อมกัน  และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป  ซึ่งการยุบสภาที่ว่านี้จะใช้กับสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น  โดยไม่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภาเพราะไม่มีการยุบวุฒิสภา  แต่การยุบสภานั้นจะมีผลทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกันด้วย

การยุบสภามีความจำเป็นและสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภา  เช่น  ประเทศอังกฤษและประเทศไทย  ซึ่งปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา  เนื่องจากการปกครองในระบบนี้จะเพ่งเล็งถึงความสมดุลระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารที่อาจแนะนำให้ประมุขของรัฐยุบสภาได้  ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการให้เครื่องมือแก่ฝ่ายบริหาร  (คณะรัฐมนตรี)  ในการต่อสู้กับฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นการถ่วงดุลแห่งอำนาจ  (Balance  of  Power)  ต่อการที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี)  ได้นั่นเอง

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์การยุบสภาไว้ในมาตรา  108  ดังนี้

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา  ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร  และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”

จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในการยุบสภาจะต้องมีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1       การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  เนื่องจากพระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐและทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่  ซึ่งโดยหลักปฏิบัติแล้วพระองค์จะทรงใช้พระราชอำนาจนั้นก็ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ  ขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น

2       การยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา  และต้องมีการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป  ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า  45  วัน  แต่ไม่เกิน  60  วัน  นับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎรและวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

3       การยุบสภาจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน  กล่าวคือ  หากจะมีการยุบสภาอีกครั้ง  จะอ้างเหตุผลหรือเหตุการณ์ที่ใช้ในการยุบสภาครั้งก่อนไม่ได้

 

ข้อ  3  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้

ก)       จงอธิบายอย่างละเอียดว่าที่มาของอำนาจนิติบัญญัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีที่มาอย่างไร

ข)      จงอธิบายว่าหน้าที่ของท่านตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีอะไรบ้าง

ธงคำตอบ

ก)     อำนาจนิติบัญญัติ  มีรัฐสภาเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ  ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎร  และวุฒิสภา

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้  คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)

สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  ประกอบด้วยสมาชิก  500  คน  โดยเป็นสมาชิก

–                     มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  375  คน

–                    มาจากการเลือกตั้งแบบ บัญชีรายชื่อ  125  คน

(1) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ  1  คน

การคำนวณเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก  1  คน  ให้คำนวณจากราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง  (หาร)  ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  375  คน                                              

จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี  ให้นำจำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ที่คำนวณได้นั้นมาเฉลี่ยจำนวนราษฎรในจังหวัดนั้น  ถ้าจังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ก็ให้มีสมาชิกฯได้  1  คน  จังหวัดใดมีราษฎรเกินเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ให้มีสมาชิกฯในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีก  1  คน  ทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน

จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้ไม่เกิน  1  คน  ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  และจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้เกิน  1  คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งมีจำนวนเท่าจำนวนสมาชิกฯที่พึงมี  โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกฯ  1  คน  (มาตรา 94)

(2) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ  ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น  โดยให้เลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว  และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง  (มาตรา 95)

บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา  95  ให้พรรคการเมืองจัดทำขึ้นพรรคการเมืองละหนึ่งบัญชีไม่เกินบัญชีละ  125  คน  และให้ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเปิดสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  (มาตรา  96)

การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง  ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศแล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น  โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้  เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น  ทั้งนี้  ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  (มาตรา  98)

1       วุฒิสภา  (ส.ว.)

วุฒิสภา  (ส.ว.)  ประกอบด้วยสมาชิก  150  คน  ซึ่งมาจาก

–                     การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด  จังหวัดละ  1  คน  รวม  76  คน

–                    การสรรหา  รวม  74  คน

การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา

ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา

การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา

ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง  ประกอบด้วย

(1)  ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

(2) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(3) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน

(4) ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

(5) ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(6) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย  1  คน

(7) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย  1  คน

หมายเหตุ

ปัจจุบันประเทศไทยเมื่อนับรวมกรุงเทพมหานครด้วยจะมี  77  จังหวัด  ดังนั้นในการเลือกตั้งและสรรหาวุฒิสภาครั้งต่อไป    จำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง  จังหวัดละ  1  คน  จึงมี  77  คน  ส่วนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาจะมี  73  คน  (150 – 77 73 คน)

ข)      หน้าที่ของข้าพเจ้าตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  ได้แก่

1       หน้าที่ที่จะต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์  และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (มาตรา 70)

2       หน้าที่ป้องกันประเทศ  รักษาผลประโยชน์ของชาติ  และปฏิบัติตามกฎหมาย (มาตรา 71)

3       หน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (มาตรา 72)

4       หน้าที่รับราชการทหาร  ช่วยเหลือในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติสาธารณะ  เสียภาษีอากร  ช่วยเหลือราชการ  รับการศึกษาอบรม  พิทักษ์ปกป้อง  และสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติ  และภูมิปัญญาท้องถิ่น  อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามที่กฎหมายบัญญัติ (มาตรา 73)

 

ข้อ  4  ตำรวจได้จับกุมนายแดงสัญชาติไทย  จำเลยในคดีอาญาซึ่งหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา  และนายดำสัญชาติอินเดียผู้ต้องหาในคดีลอบวางระเบิดในประเทศอินเดียได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิขณะที่จะหลบหนีออกนอกประเทศ  ต่อมาอัยการขอให้ศาลอาญามีคำสั่งให้ขังนายดำไว้เพื่อการส่งข้ามแดนไปดำเนินคดีที่ประเทศอินเดีย  ซึ่งศาลฯมีคำสั่งอนุมัติ  นายดำเห็นว่าคำสั่งศาลฯไม่ชอบฯ  จึงได้อุทธรณ์คำสั่งฯ  ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งศาลอาญาชอบฯแล้ว  จึงทำให้คดีนี้ถึงที่สุดตาม  พ.ร.บ.  ส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ  ระหว่างรอการส่งข้ามแดน  นายดำได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่  และยื่นคำร้องว่ามาตรา  10  พ.ร.บ.ฯ  ที่ศาลอาญาได้ใช้พิจารณากับคดีของตนขัดต่อมาตรา  30  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  จึงขอให้ส่งเรื่องนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย  ต่อมาในคดีของนายแดงหลังจากที่ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาให้นายแดงฟังแล้ว  นายแดงเห็นว่าการที่ศาลฎีกาซึ่งพิจารณาคดีนี้ได้นำมาตรา  3  พ.ร.บ.  การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  พ.ศ.2551  มาใช้ตัดสินกับคดีของตนเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯมาตรา  40  เรื่องสิทธิจำเลย  จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญ  เพื่อพิจารณาวินิจฉัย  ดังนี้  หากท่านเป็นศาลอาญาซึ่งรับคำร้องของนายแดงและนายดำในกรณีนี้  ท่านจะดำเนินการส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  6  “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย  กฎ  หรือข้อบังคับ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา  211  วรรคหนึ่ง  “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย  ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้  แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว  จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

การส่งเรื่อง  (ความเห็นหรือคำร้อง)  ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา  211 วรรคแรก  มีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1       เป็นกรณีที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นบังคับคดี

2       คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุด  คือต้องเป็นคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล

3       เป็นกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

4       จะต้องเป็นข้อโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยมาตรา  6  คือ  ต้องเป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเท่านั้น  มิใช่เป็นการโต้แย้งเรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่ตัวบทบัญญัติแห่งกฎหมาย  เช่น  โต้แย้งว่าการกระทำของบุคคลหรือคำสั่ง  หรือคำพิพากษาของศาลขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

5       ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น

6       ในระหว่างที่ศาลส่งความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย  ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้  แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

กรณีตามอุทาหรณ์  แยกพิจารณาได้ดังนี้  คือ

ประเด็นที่  1  กรณีคำร้องของนายแดง

การที่นายแดงโต้แย้งว่า  การที่ศาลฎีกาซึ่งพิจารณาคดีของนายแดงได้นำมาตรา  3  แห่ง  พ.ร.บ.  การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  พ.ศ. 2551  มาใช้ตัดสินคดีของตนเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯมาตรา  40  เรื่องสิทธิของจำเลยนั้น  เป็นการโต้แย้งว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  ไม่ใช่การโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา  211  (ฎ. 9500/2542)  อีกทั้งการที่ศาลซึ่งพิจารณาคดีนี้  ได้มีคำพิพากษาและศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาให้นายแดงฟังแล้ว  ถือได้ว่าคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว  ไม่ใช่คดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล  ดังนั้นการที่นายแดงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลอาญา  ซึ่งรับคำร้องของนายแดง  ข้าพเจ้าจะไม่ส่งคำร้องโต้แย้งของนายแดงไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามที่นายแดงร้องขอ

ประเด็นที่  2  กรณีคำร้องของนายดำ

การที่นายดำได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา  ขอให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่และยื่นคำร้องว่า  มาตรา  10  พ.ร.บ.  ส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ  ที่ศาลอาญาได้ใช้พิจารณากับคดีของตนขัดต่อมาตรา  30  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย  ดังนี้แม้ว่ากรณีคำร้องของนายดำ  จะเป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญก็ตาม  แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว  ตาม  พ.ร.บ.  ส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ  และนายดำมิได้ร้องขอให้ศาลส่งคำร้องโต้แย้งของตนเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยในระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล  กรณีจึงล่วงเลยเวลาที่จะดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  มาตรา  211  แล้ว  (ฎ. 623/2543)  ดังนั้น  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลอาญา  ซึ่งรับคำร้องของนายดำ  ข้าพเจ้าจะไม่ส่งคำร้องโต้แย้งของนายดำไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามที่นายดำร้องขอ

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลอาญา  ซึ่งรับคำร้องของนายแดงและนายดำในกรณีดังกล่าว  ข้าพเจ้าจะไม่ส่งคำร้องโต้แย้งของทั้งสองไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

Advertisement