การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  เบี้ยวทำสัญญาอนุญาตให้กลมทำทางภาระจำยอมเป็นถนนผ่านที่ดินของเบี้ยว  โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา  แต่สัญญาดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  หลังจากกลมใช้ทางภาระจำยอมได้  5  ปี  เบี้ยวก็ถึงแก่ความตาย  แบนบุตรของเบี้ยวได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนั้นในฐานะทายาทโดยธรรม  และแบนได้ทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้กับสมปอง

หลังจากจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์แล้ว  สมปองจึงห้ามไม่ให้กลมใช้ทางภาระจำยอมอีกต่อไป  แต่กลมอ้างสัญญาที่ตนทำไว้กับเบี้ยวขึ้นต่อสู้ว่า  ตนยังสามารถใช้ทางภาระจำยอมได้ต่อไป  ดังนี้สมปองจะห้ามไม่ให้กลมใช้ทางภาระจำยอมต่อไปได้หรือไม่  และข้อต่อสู้ของกลมรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1299  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น  จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้  จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ  ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น  ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้  (มาตรา  1299  วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เบี้ยวทำสัญญาอนุญาตให้กลมทำทางภาระจำยอมเป็นถนนผ่านที่ดินของเบี้ยวโดยไม่มีกำหนดระยะเวลานั้น  กลมจึงเป็นผู้ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม  แต่เมื่อปรากฏว่าสัญญาดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  นิติกรรมจึงไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกไม่ได้  แต่ยังคงมีผลบังคับระหว่างเบี้ยวกับกลมซึ่งเป็นคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิตามมาตรา  1299  วรรคแรก

ต่อมาเมื่อเบี้ยวถึงแก่ความตาย  แบนบุตรของเบี้ยวได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนั้นในฐานะทายาทโดยธรรม  อันเป็นการรับทรัพย์มรดกตามกฎหมายว่าด้วยมรดก  ดังนั้น  แบนผู้รับมรดกจึงต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของเบี้ยวเจ้ามรดกที่มีต่อกลมดังกล่าวด้วย

อย่างไรก็ตาม  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  แบนได้ทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้กับสมปอง  และสมปองได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์แล้ว  สมปองย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น  และถือเป็นบุคคลภายนอก  ดังนั้น  เมื่อภาระจำยอมดังกล่าวไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  จึงไม่สามารถบังคับใช้กับสมปองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้  สมปองในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงมีสิทธิห้ามไม่ให้กลมใช้ทางภาระจำยอมต่อไปได้  และข้อต่อสู้ของกลมที่ว่าตนทำสัญญาไว้กับเบี้ยวจึงยังสามารถใช้ทางภาระจำยอมได้ต่อไปนั้นรับฟังไม่ได้  เพราะกลมไม่สามารถยกสัญญาที่ไม่บริบูรณ์นั้นขึ้นต่อสู้กับสมปองได้ตามเหตุผลที่กล่าวแล้วข้างต้น

สรุป  สมปองจะห้ามไม่ให้กลมใช้ทางภาระจำยอมต่อไปได้  และข้อต่อสู้ของกลมรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  มั่นได้ซื้อพระเครื่ององค์หนึ่งในราคา  5,000  บาท  จากร้านพุทธศิลป์ซึ่งเปิดร้านจำหน่ายพระเครื่องและวัตถุมงคลที่ข้างวัดมหาธาตุ  ท่าพระจันทร์  ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆ  โดยมั่นไม่รู้ว่าพระเครื่ององค์ดังกล่าวเป็นของเมฆที่ถูกคนร้ายขโมยไป

และนำไปขายที่ร้านพุทธศิลป์ในราคา  2,000  บาท  หลังจากซื้อพระเครื่องดังกล่าวแล้ว  มั่นได้นำไปใส่กรอบทองคำเป็นเงิน  20,000  บาท  ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายได้  และสืบทราบว่าพระของกลางอยู่ที่มั่น  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  เมฆจะเรียกให้มั่นคืนพระเครื่ององค์นั้นพร้อมกรอบทองให้กับตนได้หรือไม่  และระหว่างมั่นกับเมฆมีสิทธิเรียกร้องใดๆต่อกันได้บ้าง  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  144  ส่วนควบของทรัพย์  หมายความว่า  ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่แห่งทรัพย์นั้น  และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย  ทำให้บุบสลาย  หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น

มาตรา  1332  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของเอกชน  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  1332  คือ  แม้เจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงจะติดตามทวงคืน  ก็ไม่จำต้องคืนทรัพย์สินให้แก่เจ้าของ เว้นแต่เจ้าของทรัพย์สินนั้นจะชดใช้ราคาที่ตนซื้อมา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่มั่นซื้อพระเครื่องดังกล่าวจากร้านพุทธศิลป์ซึ่งเปิดร้านจำหน่ายพระเครื่องและวัตถุมงคลที่ข้างวัดมหาธาตุ  ท่าพระจันทร์ ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆ  โดยมั่นไม่รู้ว่าพระเครื่ององค์นั้นเป็นของเมฆที่ถูกคนร้ายขโมยไปและนำไปขายที่ร้านพุทธศิลป์นั้น  มั่นย่อมเป็นบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากท้องตลาด  และจากพ่อค้าซึ่งขายสินค้าชนิดนั้น  ดังนั้นมั่นจึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  1332  คือ  มั่นไม่จำต้องคืนพระเครื่ององค์นั้นให้กับเมฆ  แม้เมฆจะเป็นเจ้าของที่แท้จริงก็ตาม  เว้นเสียแต่ว่าเมฆจะชดใช้ราคาพระเครื่องที่มั่นได้ซื้อมา  คือ  5,000  บาท  เมฆจึงจะสามารถเรียกให้มั่นคืนพระเครื่ององค์นั้นได้

ส่วนกรณีที่มั่นนำพระเครื่องไปใส่กรอบทองคำเป็นเงิน  20,000  บาทนั้น  เมื่อปรากฏว่ากรอบพระทองคำไม่ใช่สาระสำคัญในความเป็นอยู่ของพระเครื่อง  จึงไม่ถือเป็นส่วนควบของพระเครื่อง  ตามมาตรา  144  อันจะทำให้เมฆเจ้าของทรัพย์ได้กรรมสิทธิ์ในกรอบพระทองคำด้วยแต่อย่างใด  ดังนั้น  กรอบพระทองคำจึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของมั่น  เมฆไม่มีสิทธิเรียกเอากรอบพระทองคำจากมั่น

สรุป  หากเมฆต้องการจะเรียกให้มั่นคืนพระเครื่อง  จะต้องชดใช้เงินให้แก่มั่น  5,000  บาท  ส่วนกรอบพระทองคำนั้น  เมฆไม่มีสิทธิเรียกเอากรอบพระทองคำจากมั่น

 

ข้อ  3  นายแมนเข้าไปทำนาในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนางมั่งมีมาได้  4  ปี  ต่อมานายแมนถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา  1  ปี  6 เดือน  เมื่อออกจากคุกแล้ว  นายแมนได้เข้าไปครอบครองทำนาในที่ดินของนางมั่งมีอีก  4  ปี  6  เดือน  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายแมนอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์บนที่ดินของนางมั่งมีได้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1384  ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร  และได้คืนภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่วันขาดยึดถือ  หรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้  ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง

วินิจฉัย 

กรณีตามอุทาหรณ์  โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  1382  จะประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1.  เป็นทรัพย์สินของผู้อื่น  โดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา  10  ปี

สำหรับการครอบครองติดต่อกันนั้น  จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ครอบครองได้ครอบครองหรือยึดถือทรัพย์สินนั้นตลอดเรื่อยมาโดยไม่มีเจตนาสละการครอบครอง  หรือขาดการยึดถือโดยใจสมัครในบางช่วงบางตอน  และถ้าหากเป็นการขาดการยึดถือโดยไม่สมัครใจ  เพราะมีเหตุมาขัดขวาง  กฎหมายถือว่าการขาดการยึดถือนั้นไม่ทำให้อายุความการครอบครองสะดุดหยุดลง  หากได้ทรัพย์สินคืนภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่ขาดการยึดถือ  ทั้งนี้ตามมาตรา  1384

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายแมนจะอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์บนที่ดินของนางมั่งมีได้หรือไม่  เห็นว่า การที่นายแมนเข้าไปครอบครองปรปักษ์ทำนาในที่ดินมีโฉนดของนางมั่งมีมาได้  4  ปี  และต่อมาได้ถูกศาลพิพากษาจำคุกนั้น  ถือเป็นกรณีที่นายแมนขาดการยึดถือที่ดินโดยไม่สมัครใจ  เนื่องจากมีเหตุมาขัดขวางหรือไม่มีเจตนาสละการครอบครอง  แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อปรากฏว่านายแมนไม่อาจกลับเข้าครอบครองที่ดินอีกได้ภายใน  1  ปี  นับแต่วันที่ขาดการยึดถือ  เนื่องจากศาลพิพากษาจำคุกนายแมน  1  ปี  6  เดือน  จึงมีผลทำให้การครอบครองของนายแมนสิ้นสุดลง  ตามมาตรา  1384

ดังนั้น  แม้ต่อมานายแมนจะพ้นโทษจำคุก  และกลับเข้าครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนางมั่งมีอีก  นายแมนก็ไม่สามารถจะนำระยะเวลาการครอบครองเดิม  (4  ปี)  มานับรวมกับการครอบครองขณะตนถูกจำคุก  (1  ปี  6  เดือน)  และภายหลังออกจากคุก  (4  ปี  6  เดือน) ได้ หากนายแมนจะนับก็ต้องเริ่มนับตั้งแต่เมื่อออกจากคุกแล้วมาครอบครองใหม่  จึงเท่ากับนายแมนเพิ่งครอบครองปรปักษ์ได้เพียง  4  ปี  6  เดือน  ซึ่งยังไม่ครบ  10  ปี  นายแมนจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนางมั่งมีตามมาตรา  1382  ดังนั้น  นายแมนจะอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนางมั่งมีไม่ได้

สรุป  นายแมนอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์บนที่ดินของนางมั่งมีไม่ได้

 

ข้อ  4  จันทร์จดทะเบียนภาระจำยอมให้อังคารใช้น้ำในบ่อน้ำซึ่งอยู่ในที่ดินของจันทร์ได้  หลังจากที่อังคารใช้น้ำจากบ่อของจันทร์มาได้  5 ปี  อังคารก็ไม่เคยมาใช้น้ำจากบ่อน้ำนี้อีกถึง  5  ปี  ต่อมาอังคารขายที่ดินให้กับพุธ  เมื่อพุธซื้อที่ดินแล้วจึงมาใช้น้ำในที่ดินของจันทร์  ดังนี้ จันทร์จะไม่อนุญาตให้พุธนำน้ำจากบ่อน้ำของตนไปใช้ได้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1399  ภาระจำยอมนั้น  ถ้ามิได้ใช้สิบปี  ท่านว่าย่อมสิ้นไป

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  ภาระจำยอมนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีขึ้นเพื่อประโยชน์กับอสังหาริมทรัพย์อื่น  (มาตรา  1387)  ดังนั้น  ภาระจำยอมจึงตกติดไปกับอสังหาริมทรัพย์ทั้งภารทรัพย์และสามยทรัพย์เสมอ  ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งสองนั้นจะโอนไปเป็นของบุคคลใด  เว้นแต่จะตกลงกันเป็นอย่างอื่น  และหากไม่ได้ใช้ภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี  ภาระจำยอมนั้นย่อมระงับสิ้นไปตามมาตรา  1399  ซึ่งถือเป็นอายุความเสียสิทธิ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จันทร์จดทะเบียนภาระจำยอมให้อังคารมีสิทธิใช้น้ำในบ่อน้ำ  ซึ่งอยู่ในที่ดินของจันทร์ได้นั้น  ภาระจำยอมดังกล่าวย่อมบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ  (มาตรา  1299  วรรคแรก)  และการที่อังคารได้ใช้น้ำจากบ่อน้ำในที่ดินของจันทร์เพียง  5  ปี  แล้วก็ไม่เคยมาใช้น้ำจากบ่อน้ำนี้อีกเลยเป็นเวลาถึง  5  ปีนั้น  เมื่อปรากฏว่าการที่ไม่ได้ใช้ภาระจำยอมนั้นยังไม่ถึง  10  ปี  จึงยังไม่มีผลทำให้ภาระจำยอมที่มีอยู่ระงับไปตามมาตรา  1399

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าต่อมาอังคารขายที่ดินให้กับพุธ  พุธผู้รับโอนที่ดินมาจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและมีสิทธิในภาระจำยอมดังกล่าว  คือ  มีสิทธิเข้าไปใช้น้ำจากบ่อน้ำในที่ดินของจันทร์ได้  (มาตรา  1387)  ดังนั้น  เมื่อภาระจำยอมดังกล่าวเป็นทรัพยสิทธิ  ผูกพันอยู่กับทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์  จันทร์จึงไม่มีสิทธิห้ามพุธไม่ให้มาใช้น้ำจากบ่อน้ำซึ่งอยู่ในที่ดินของตนได้ 

สรุป  จันทร์จะไม่อนุญาตให้พุธนำน้ำจากบ่อน้ำของตนไปใช้ไม่ได้

Advertisement