การสอบไล่ภาค 2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  HIS1001  อารยธรรมตะวันตก

Advertisement

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         เราสามารถเรียนรู้วัฒนธรรมและอารยธรรมจากการศึกษาอะไรเป็นสำคัญ

1.   ธรณีวิทยา           

2.   สังคมวิทยา                     

3.   วิทยาศาสตร์                   

4.   ประวัติศาสตร์

ตอบ 4       หน้า 203712 (H), (คำบรรยาย) มนุษย์สามารถเรียนรู้วัฒนธรรมและอารยธรรมได้จากการศึกษาประวัติศาสตร์เพราะประวัติศาสตร์ คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์มนุษย์ซึ่ง มีความหมายเป็น 2 นัย คือ 1. การศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยการเกิดมนุษย์มาจน ถึงปัจจุบัน 2. ข้อวิจารณ์หรือบันทึกการค้นคว้าทั้งหลายที่ได้คัดเลือกเอามาเฉพาะหัวข้อที่น่าสนใจ ทั้งนี้จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาค้นคว้าหลักฐาน และทดสอบความจริงแท้ถูกต้องของหลักฐาน โดยใช้วิธีการตรวจสอบด้วยการวิจารณ์ภายนอกและการวิจารณ์ภายใน

2.         การศึกษาประวัติศาสตร์ต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในด้านใด

1.   ทดสอบความจริงแท้ถูกต้องของหลักฐาน      

2.   การแสวงหาหลักการและทฤษฎีของเหตุการณ์

3.   การทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า                             

4.   การตั้งข้อสมมุติฐานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.         อักษรคูนิฟอร์มพัฒนารูปแบบมาจากอะไร

1.   อักษรภาพ          2.   เครื่องหมายและสัญลักษณ์            3.   พยัญชนะและสระ    4.   สัญลักษณ์

ตอบ 1      หน้า 6923(H), (คำบรรยาย) เมื่อประมาณ 3,500 B.C. ชาวสุเมเรียนได้ประดิษฐ์ตัวอักษรโดยใช้ต้นอ้อแห้งหรือเหล็กแหลมกดลงบนแผ่นดินเหนียว แล้วนำไปตากแดดหรือเผาไฟให้แห้งเรียกว่าตัวอักษรคูนิฟอร์ม(Cuneiform) หรือตัวอักษรรูปลิ่ม ซึ่งได้พัฒนารูปแบบมาจากอักษรภาพ  (Pictograms) ที่ใช้ในระยะแรก ๆ และต่อมาจึงพัฒนาจากอักษรภาพมาเป็นการใช้เครื่องหมายแทนสัญลักษณ์

4.         ชาวสุเมเรียนควบคุมการใช้น้ำเพื่อการเกษตรด้วยวิรีใด

1.   การชลประทาน                                2.   ถมชายฝั่งแม่น้า              3.   สร้างสะพานเชื่อมคลอง       

4.   สร้างเขื่อนริมน้ำ

             ตอบ 1       หน้า 71, (คำบรรยาย) ชาวสุเมเรียนได้ริเริ่มเทคโนโลยีควบคุมการใช้น้ำเพื่อการเกษตรด้วยการชลประทาน กล่าวคือใช้วิธีการสร้างเขื่อน ขุดคูคลองเป็นเครือข่ายเก็บกักน้ำ ทดน้ำ ระบายน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรและการอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ยังใช้เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำและอุทกภัยด้วย

5.         อัสสิเรียปกครองภูมิภาคด้วยวิธีการใด

1.   แบ่งเป็นมณฑล ตั้งผู้ว่าราชการและแม่ทัพ                  2.   แบ่งเป็นภาค ปกครองตนเอง

3.   แบ่งเป็นอาณาจักร ตั้งผู้ปกครอง                                   4.   แบ่งเป็นนครรัฐ ปกครองตนเอง

ตอบ 1       หน้า 80 – 81, (คำบรรยาย) อัสสิเรีย นับเป็นชนชาติแรกในเมโสโปเตเมียที่จัดระเบียบการ

ปกครองจักรวรรดิอย่างมีระบบ โดยมีการรวมอำนาจสูงสุดไว้ที่ส่วนกลาง คือ กษัตริย์ และมีการกระจายอำนาจไปยังส่วนภูมิภาค คือ มีการแบ่งมณฑลและสถาปนาเมืองหลวงประจำมณฑลขึ้นโดยแต่ละมณฑลก็จะมีผู้ว่าราชการและแม่ทัพ ซึ่งการปกครองในลักษณะนี้ทำให้กษัตริย์ดาริอุสที่           1 แห่งเปอร์เซียทรงรับไปบริหารจักรวรรดิเปอร์เซียในเวลาต่อมาด้วย

6.         ในยุคโบราณ เมโสโปเตเมียได้ปฏิวัติการทหารด้านใด                  

1.   การทหารราบ          2.   การพหารม้า               3.   การรวมเหล่า                  4.   การจัดตั้งกองเสนาธิการ

ตอบ 3       หน้า 7624 (H), (คำบรรยาย) กลยุทธ์ด้านการทหารของเมโสโปเตเมียจะเริ่มต้นด้วยการใช้ทหารราบในการรบ แต่เมื่ออานารยชนแคสไซท์เข้ายึดกรุงบาบิโลนโดยใช้ม้าและรถศึกขนาดเบาก็ทำให้อาณาจักรต่าง ๆ ในเมโสโปเตเมียหันมาใช้ม้าเทียมเข้ากับรถศึกขนาดเบาในการรบ ต่อมาจึงได้มีการจัดตั้งทหารม้าขึ้น และเริ่มรู้จักประกอบกำลังเข้าเป็นหมวดหมู่ โดยมีการยุทธ์ที่สำคัญคือการทหารแบบรวมเหล่า (ทหารราบ ทหารม้า รถศึก) ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์

7.         มีเหตุปัจจัยใดที่ทำให้ชาวเมโสโปเตเมียบูชาเทวดามากมาย

1.   กลัวภัยธรรมชาติและภัยสงคราม                  2.   ต้องการชีวิตสุขนิรันดร์ในชาติหน้า

3.   ต้องการขอพรศิริมงคล                                                    4.   ต้องการติดต่อทวยเทพเพื่อความมั่นใจ

ตอบ 1       หน้า 65 – 68,  (คำบรรยาย) สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวเมโสโปเตเมียต้องบูชาเทวดามากมายและเป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย หวาดกลัว ไม่คิดที่จะกลับมาเกิดใหม่นั้น สรุปได้เป็น 2 สาเหตุใหญ่ ๆ คือ   1. การต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติอยู่เป็นประจำ เช่น อุทกภัย  2. การทำสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดนระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

8.         ข้อใดแสดงอารยธรรมอียิปต์มีลักษณะแตกต่างจากอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

             1.   อารยธรรมอียิปต์รับแบบอย่างจากกรีซ               

             2.   อารยธรรมอียิปต์เป็นอารยธรรมของชนชาติเดียว

             3.   อารยธรรมอียิปต์แพร่หลายไปสู่เมโสโปเตเนีย    

             4.   อารยธรรมอียิปต์รับแบบอย่างมาจากจีน

             ตอบ 2       หน้า 67 – 6822 – 23 (H), (คำบรรยาย) ลักษณะเด่นของอารยธรรมอียิปต์ที่แตกต่างจากอารยธรรมเมโสโปเตเมีย มีดังนี้

1.   อียิปต์เป็นอารยธรรมของชนชาติเดียวแต่เมโสโปเตเมียเป็นอารยธรรมของกลุ่มชนหลายเชื้อชาติ

2.   เมโสโปเตเมียไม่มีปราการทางธรรมชาติเหมือนกับอียิปต์ที่มีทะเลทราย จึงถูกรุกรานได้โดยง่าย

3.   สิ่งก่อสร้างของอียิปต์สร้างด้วยหินจึงแข็งแรงทนทาน ส่วนสถาปัตยกรรมของเมโสโปเตเมียสร้างด้วยอิฐจึงไม่ยั่งยืน เพราะไม่มีหินขนาดใหญ่เหมือนอียิปต์

4.   อียิปต์เป็นพวกที่มีชีวิตสุขสมบูรณ์ ทำให้มองโลกในแง่ดีและไม่อยากตาย จึงมีการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทำมัมมี่เพื่อที่จะกลับมาเกิดใหม่ในโลกหน้า แต่เมโสโปเตเมียส่วนใหญ่มอง        โลกในแง่ร้าย ไม่คิดจะกลับมาเกิดใหม่

9.         ระบอบประชาธิปไตยเอเธนส์ถือความยุติธรรมเป็นสำคัญ จึงปกครองด้วยการยึดถืออะไรเป็นหลัก

1.   กฎหมายและการศาล

2.   การศาล 3 ชั้น

3.   พัฒนาประมวลกฎหมาย

4.   การฎีกาสู่สภา 500

             ตอบ 1       หน้า 126, (คำบรรยาย) ระบอบประชาธิปไตยเอเธนส์มีลักษณะเด่น คือ เป็นรูปแบบการปกครอง    ที่พลเมืองชายชั้นสูงมีอำนาจทางการเมือง ปกครองนครรัฐด้วยการรับผิดชอบร่วมกัน โดยจะยึดถือกฎหมายและการศาลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะถือว่ากฎหมายและการศาลเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องคุ้มครองและพิทักษ์ความยุติธรรมได้ ซึ่งนวัตกรรมนี้ยังถือเป็นพื้นฐานการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของโลกตะวันตกต่อมาด้วย

10.       ปรัชญาโลกตะวันตกมีกระบวนการคิดโดยใช้เทคนิคอะไรของกรีซ

1.   การโต้แย้งอ้างหลักธรรม

2.   วิภาษวิธีและหลักเหตุผล

3.   โต้แย้งตามลีลาวาทศิลป์

4.   การตั้งข้อสมมุติฐาน

             ตอบ 2       หน้า 137 – 139, (คำบรรยาย) ปรัชญาของชาวกรีกในระยะแรกจะคิดลึกซึ้งในเรื่องมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดของชาวกรีกว่า เป็นการค้นหาความจริงเกี่ยวกับปรากฏการต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล โดยใช้หลักวิภาษวิธี คือ การเปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ไม่จำกัดอยู่เฉพาะข้อสรุปใดข้อสรุปหนึ่ง นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากุญแจที่จะไขไปสู่ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ก็คือพลังแห่งเหตุผลของคน (Logos) หรือการคิดตามหลักเหตุผลนั่นเอง

11.       ตามความคิดของเพลโตเรื่องสาธารณรัฐ ผู้ปกครองในอุดมคติต้องมีคุณสมบัติสำคัญอะไร

1.   เป็นนักรบนักบริหาร                                                       

2.   ผู้มีการศึกษาและเป็นนักปรัชญา

3.   เป็นคนดีมีวิชา                                                                   

4.   เป็นนักปรัชญาผู้ทรงธรรม

ตอบ 2       หน้า 14145 (H) (คำบรรยาย) เพลโต (Plato) ได้เขียนหนังสือเรื่องสาธารณรัฐ (The Republic)    ซึ่งได้กล่าวถึงการปกครองที่ดีก็คือ การปกครองที่ไม่มีแห่งหนใดเลย (No Place) เป็นสังคมในอุดมคติ (Utopia) และก็เสนอว่าผู้ปกครองในอุดมคตินั้นจะต้องให้ผู้ที่การศึกษาและมีสติปัญญาเป็นผู้ดำเนินการปกครองและต้องเป็นนักปรัชญาด้วยเพื่อปกครองตามความต้องการที่ดีที่สุดแก่ประชาชน

12.       เฮโรโดตัสเขียนประวัติศาสตร์โดยใช้วิธีการใดในการแสวงหาข้อมูล

1.   วิธีการฟังเล่าลือมา                                                           

2.   วิธีการสืบสวนสอบถาม

3.   วิธีการอ่านเอกสารชั้นต้น                                               

4.   วิธีการวิจัยเอกสารชั้นสอง

             ตอบ 2       หน้า 13644 (H), (คำบรรยาย) เฮโรโดตัส (Herodotus) เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของวิชาประวัติศาสตร์” โดยเขาได้เขียนประวัติศาสตร์สงครามเปอร์เซีย                ขึ้นและเรียกหนังสือนี้ว่า Historia โดยใช้วิธีการสืบสวนสอบถามจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงและก็นำหลักฐานที่ได้มาเรียบเรียงขึ้นเป็นประวัติศาสตร์

13.       กรีกเน้นดุลยภาพในการสร้างสรรค์ศิลปกรรมเพื่อวัตถุประสงค์ใด

1.   สุนทรียภาพ           2.   ความเหมือนจริง        3.   ความเกินจริง 4.   ถ่ายทอดธรรมชาติ

ตอบ 1       หน้า 131133, (คำบรรยาย) ศิลปะของชาวกรีกในยุคโบราณจะเน้นเรื่องสุนทรียภาพหรือความงาม โดยให้ความสำคัญกับดุลยภาพ คือ การเน้นเรื่องน้ำหนักเท่ากันของสี เส้น แสง และเงา ตลอดจนเน้นความมีเอกภาพของศิลปะหรือการประสานกลมกลืนของทุกสิ่งตามอุดมคติของชาวกรีกที่ว่า “Nothing in excess, and everything in proportion” (ไม่มีสิ่งที่เกินไป และทุกสิ่งจะต้องเป็นสัดส่วน)

14.       ชาวกรีกสร้างสรรค์งานศิลป์โดยมีจุดมุ่งหมายอะไรที่แตกต่างจากศิลปะอียิปต์และศิลปะเมโสโปเตเมีย

1.   มุ่งหมายทางโลก                                                               

2.   มุ่งหมายทางธรรม             

3.   มุ่งสดุดีทวยเทพ                                                                

4.   มุ่งหมายผลทางการเมือง

             ตอบ 1       หน้า 131, (คำบรรยาย) ชาวกรีกเป็นนักวัตถุนิยมที่มองโลกในแง่กายภาพ สร้างสรรค์งานศิลป์โดยมีจุดมุ่งหมายทางโลกเป็นสำคัญ จึงทำให้งานศิลปะของกรีกส่วนใหญ่มีเอกลักษณ์เด่น คือ เป็นงานที่แสดงถึงสัญลักษณ์ของมนุษย์ ตามคตินิยมที่ว่ามนุษย์คือสัตว์โลกที่สำคัญที่สุดในจักรภพ ซึ่งแตกต่างจากศิลปะอียิปต์และศิลปะเมโสโปเตเมียที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมุ่งสดุดีทวยเทพหรือสนองการพระศาสนา

15.  การค้าของจักรวรรดิโรมันเป็นแบบใด

1.   การค้าเสรี                           

2.   การค้าผูกขาด                 

3.   รัฐและเอกชนรวมกันดำเนินการค้า    

4.   รัฐควบคุมการค้า

             ตอบ 1       หน้า 17652 (H), (คำบรรยาย) จักรวรรดิโรมันจะใช้การค้าแบบเสรี คือ รัฐเป็นผู้คุ้มครองและส่งเสริมการค้าขายโดยรัฐไม่ได้เข้าไปควบคุมเศรษฐกิจหรือตั้งข้อจำกัดทางการค้า ทำให้สังคมโรมันมีลักษณะเป็นสังคมเมืองที่เจริญรุ่งเรืองด้วยการค้า โดยมีศูนย์กลางการค้าอยู่ทีโรม และเมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ ซึ่งมีสินค้าจากทุกมุมโลกมาค้าขายหมุนเวียนอยู่

16.  ในสมัยจักรวรรดิเรืองอำนาจที่สุด การเกษตรเป็นแบบที่เรียกว่าอะไร

1.   Manor                                 2.   Plantation                       3.   Fief                                  4.   Benifice

ตอบ 2       หน้า 176, (คำบรรยาย) ในสมัยจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจที่สุดหรือสมัยสันติสุขโรมัน  (Pax Romana) การเกษตรยังคงเป็นอาชีพสำคัญของประชาชนในจักรวรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกษตรแบบ Plantation คือ การมีไร่ขนาดใหญ่เพาะปลูกพืชประเภทเดียวเพื่อการค้า โดยอาศัยแรงงานจากพวกทาสเป็นหลัก

17.       การปกครองแบบใดที่ถือว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่ชาวโรมันคิดริเริ่ม

1.   ระบอบทรราชย์       2.   ระบอบจักรพรรดิราชย์            3.   ระบอบพลีเบียน           4.   ระบอบกงสุล

ตอบ 4       หน้า 161, (คำบรรยาย) ในสมัยสาธารณรัฐโรมัน ชาวโรมันได้ริเริ่มรูปแบบการปกครองระบอบกงสุล (Consulate System) ซึ่งเป็นนวัตกรรมการปกครองแบบโรมันเอง นั่นคือระบอบการปกครองที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือกงสุล(Consuls)2 คน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “Magistrates” หรือผู้นำสูงสุด ทำหน้าที่เป็นประมุขของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารโดยจะคัดเลือกมาจากขุนนางสามัญชนอิสระ แต่ส่วนใหญ่จะมาจากพวกแพทริเชียน หรือ กลุ่มชนชั้นสูงของสังคม

18.  ในระบอบการปกครองของอียิปต์ อำนาจอธิปไตยเป็นของใคร

1.   ฟาโรห์                2.   นักบวชหญิง                  3.   คณะนักรบ                     4.   คณะนักบวช

ตอบ 1       หน้า536019(H) ระบอบการปกครองของอียิปต์ในสมัยอาณาจักรเก่าหรือสมัยพีระมิดจะเป็นแบบเทวาธิปไตย (Theocracy) โดยมีฟาโรห์เป็นประมุขสูงสุดหรือเทวกษัตริย์ กล่าวคืออำนาจอธิปไตยจะเป็นของฟาโรห์ซึ่งทรงมีฐานะเป็นศูนย์กลางของทุกสถาบัน ดังนั้นฟาโรห์ก็คือรัฐที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำสูงสุดทั้งตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลและประมุขทางศาสนาเป็นผู้พิพากษาสูงสุด เป็นผู้บังคับบัญชาการกองทัพและบัญชาการทางด้านพลเรือนรวมทั้งทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดสามารถทำการค้าขายได้แต่เพียงผู้เดียว

19.       เหตุใดอียิปต์โบราณมีพ่อค้าเอกชนน้อย

1.   เพราะศาสนาห้ามการค้าขาย                                          2.   เพราะรัฐห้ามการค้าขาย

3.   เพราะรัฐหรือฟาโรห์ค้าขายได้แต่เพียงผู้เดียว            4.   เอกชนขาดทุนรอน

ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

20.       ชาวอียิปต์มองโลกในแง่ดี ไม่อยากตายเพราะอะไร

1.   ชีวิตในชาตินี้สุขสมบูรณ์                                                2.   ศาสนาสอนว่าชีวิตเป็นอมตะ

3.   อยากเสวยสุขในชาตินี้เท่านั้น                                       4.   ศาสนาสอนว่าชาติหน้ามีแต่ทุกข์

ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

21.       อียิปต์โบราณรักษาแผลและแก้อักเสบโดยวิธีการใด

1.   ดองแผลมิให้เนา                                                              

2.   ใช้ด่างทับทิมและน้ำเกลือ

3.   ใช้สมุนไพร                                                                       

4.   ใช้กระเทียมและหัวหอม

             ตอบ 2       หน้า 6222 (H) อียิปต์มีความเจริญทางด้านการแพทย์ดังนี้

1. ริเริ่มการตรวจและรักษาโรคโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งได้แยกผู้เชียวชาญออกเป็นจักษุแพทย์ ทันตแพทย์ และศัลยแพทย์

2. มีการค้นพบว่าหัวใจคือศูนย์กลางการหมุนเวียนของโลหิต

3. ริเริ่มการจำแนกยาชนิดต่าง ๆ ตามอาการของโรคที่ปรากฏ

4. ใช้ด่างทับทิมในการรักษาบาดแผล และใช้น้ำเกลือเพื่อป้องกันการอักเสบ

5. มีการทำน้ำยารักษาศพเพื่อป้องกันการเน่าเปื่อย

22.       กลุ่มชนชาวกรีกกลุ่มใดมีอิทธิพลสามารถเรียกร้องและต้องการมีส่วนร่วมการปกครอง จนทำให้เกิดการปฏิรูปการเมืองขึ้น

1.   ทหารม้า                   2.   พ่อค้า                          3.   ทหารราบและฝีพาย                     4.   สามัญชน

ตอบ 2       หน้า 11640 (H), (คำบรรยาย)         ในตอนปลายยุคขุนนางของกรีกนั้น กองทหารราบเริ่มมีความสำคัญขึ้นมาแทนที่กองทหารม้าของพวกขุนนาง และพวกขุนนางก็เริ่มทะเลาะกันเองประกอบกับประชาชนจำนวนมากไม่พอใจการปกครองของเหล่าขุนนาง ทำให้พ่อค้าที่มั่งคั่งสามารถจ้างทหารของตนเข้ายึดอำนาจจากพวกขุนนางได้สำเร็จ ซึ่งกลุ่มพ่อค้าเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสามารถเรียกร้องและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง จนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการปฏิรูปการเมืองขึ้นในเวลาต่อมา

23.       Acropolis แตกต่างจาก Polis ในด้านใด

             1.   ด้านการเป็นนครแห่งเทวดาซ้อนอยู่ภายในนคร       2.   ด้านการเป็นเมืองบนที่สูงภายในนคร

             3.   ด้านการเป็นเมืองบริวารของนคร                                 4.   ด้านการเป็นเมืองทหารอยู่ภายในนคร

             ตอบ 2       หน้า 11038 (H) คำว่า นครรัฐ” (City-State) จะตรงกับภาษากรีกว่า “Polis” ซึ่งมีความหมายถึง ป้อม ค่าย หรือที่ปลอดภัยจากศัตรู โดยแต่ละนครรัฐของกรีกจะมีสภาพแตกต่างกันออกไป แต่ที่มีอยู่เหมือนกันคือ 1. มีขนาดเล็ก 2. มีประชากรไม่มาก 3. บริเวณที่ปลอดภัยที่สุดคือ Acropolis ซึ่งแปลว่าส่วนที่สูงที่สุดของนครรัฐหรือการเป็นเมืองบนที่สูงภายในนครรัฐ  4. มีตลาดซึ่งเป็นสถานที่ที่มาพบปะและประชุมกัน

24.       นวัตกรรมทางการทหารกรีกที่ขึ้นชื่อคืออะไร                                                  

             1.   การจัดหน่วยรถศึกเบา                                                     2.   การจัดทัพรวมเหล่า                      

             3.   การจัดขบวนรบฟาแลนซ์                                               4.   การจัดกองทัพประจำการ

             ตอบ 3       หน้า 144, (คำบรรยาย) ฟาแลนซ์ (Phalanx) คือ การจัดขบวนรบกองทัพของกรีกแบบเรียงแถวหน้ากระดาน ซึ่งเดิมจะมีแค่ 2 แถว จากนั้นก็พัฒนามาเป็น 4 แถว และ 8 แถวตามลำดับ โดยให้แถวที่ 1 ถืออาวุธสั้น และแถวต่อมาถืออาวุธยาวตามลำดับ ซึ่งสาเหตุที่กรีกต้องจัดขบวนรบแบบนี้ก็เพราะทหารราบหุ้มเกราะ (Hoplite) ที่เป็นหน่วยรบหลักต้องถืออาวุธและโล่ที่มีน้ำหนักมาก ทำให้เคลื่อนที่ได้ช้า จึงจำเป็นต้อองใช้วิธีการจัดขบวนรบแบบฟาแลนซ์เพื่อให้กองทัพเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นและมีอิสระสิทธิภาพมากขึ้นตามลำดับ

25.       ข้อใดแสดงความหมายประชาธิปไตยแบบเอเธนส์

             1.   การปกครองที่ชนทุกหมู่เหล่ามีสิทธิ์รวมการปกครอง

             2.   การปกครองที่ประสานระบอบราชาธิปไตยเข้ากับประชาธิปไตย

             3.   การปกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทุกชนชั้น

             4.   การปกครองที่พลเมืองชายชั้นสูงมีอำนาจทางการเมือง

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

26.       แรงงานหลักในระบบแมเนอร์คือแรงงานประเภทใด

             1.   ช่างฝีมือ                              2.   พ่อค้า                               3.   ทาสติดที่ดิน                   4.   ทาส

             ตอบ 3       หน้า 233 – 23466 (H), (คำบรรยาย) ระบบแมเนอร์ (Memorialise) เป็นระบบเศรษฐกิจหมู่บ้านแบบพึ่งตนเองที่เกิดขึ้นพร้อมกับการปกครองแบบฟิวดัล เนื่องจากขาดแคลนที่ดินสมบูรณ์จึงทำให้เกิดความคิดเรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน โดยมีการแบ่งที่ดินเป็นเขต เขตที่หนึ่งจะแบ่งให้กับทาสติดที่ดิน (Serfs) ซึ่งเป็นแรงงานหลักในการทำการเกษตร ส่วนที่สองจะถูกแบ่งให้ลอร์ด (Lord) เจ้าของแมเนอร์ และส่วนที่สามจะถูกปล่อยให้ว่างไว้

27.       ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองในยุคกลาง ศูนย์กลางการค้าอยู่ตามสถานที่ใด

             1.   สถานีการค้า                      2.   หมู่บ้าน                 3.   น่านน้ำ                      4.   แวดล้อมคฤหาสน์

             ตอบ 3       หน้า 307, (คำบรรยาย) ในสมัยที่รุ่งเรืองในยุคกลาง เส้นทางการค้าในทะเลเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นน่านน้ำจึงกลายเป็นปัจจัยหลักของการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมือง จึงทำให้เกิดศูนย์กลางการค้าขึ้นรอบ ๆ น่านน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีพ่อค้าสำคัญคือชาวเวนิสและเจนัวนำสินค้าจากตะวันออกมายังอิตาลี ทางใต้ของฝรั่งเศส ต่อไปถึงชายฝั่งนครบริเวณฟลานเดอร์แล้วจึงขยายเข้าไปในอังกฤษและยุโรปภาคเหนือโดยทางเรือ

28.       สมาคมพ่อค้าที่ขึ้นชื่อที่สุดในยุคกลางคือสมาคมชื่ออะไร อยู่ในดินแดนใด

1.   Delian League ในกรีช

2.   East Asiatic Cooperation ในฮอลันดา

3.   Merchants’ Association ในอังกฤษ

4.   Hanseatic League ในเยอรมนี

ตอบ 4       หน้า 289307341 สมาคมพ่อค้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคกลาง คือ สันนิบาตฮันซีอาติก (Hanseatic League) เป็นการรวมตัวของสมาคมพ่อค้าของบรรดาเมืองต่าง ๆ ทางภาคเหนือของเยอรมนี ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการค้าทางทะเลเหนือและทะเลบอลติกโดยมีผู้นำคือ Lubeck, Hamburg และ Bremen

29.       ภารกิจหลักของคริสตจักรได้แก่อะไร                 

1.   การเผยแผ่ศาสนาแก่อนารยชน

2.   การพิพากษาคดีธรรมคดีโลก        

3.   การทำให้อนารยชนเป็นผู้เจริญ

4.   ถูกข้อ 1 และ 3

ตอบ 4       หน้า 20824259 (H), (คำบรรยาย) ศาสนาคริสต์หรือคริสตจักรเป็นสถาบันสำคัญในสมัยกลางที่มีส่วนในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งนี้เพราะเป็นศาสนาที่มีอิทธิพลเหนือสังคมและความเชื่อของผู้คนในสมัยนั้น ซึ่งมีภารกิจหลักคือ การเผยแผ่ศาสนาแก่อนารยชนและทำให้อนารยชนเป็นผู้เจริญโดยพระหรือนักบวชเป็นกลุ่มเดียวที่รู้หนังสือในสังคมทำหน้าที่เป็นผู้นำทางความคิดและเผยแพร่ความรู้ให้แก่ผู้คน รวมทั้งเป็นผู้เก็บเอกสารต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยกรีกโรมัน เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย และเป็นผู้ทำการสอนที่รอบรู้และตอบปัญหาได้สารพัด

30.       เหตุใดผู้คนในยุคกลางจึงเรียนรู้สรรพสิ่งจากพระ

1.   เพราะพระเป็นกลุ่มเดียวที่รู้หนังสือในสังคม

2.   เพราะพระเป็นกลุ่มเดียวที่บวชเรียน

3.   เพราะพระเป็นกลุ่มเดียวที่ประพฤติธรรม  

4.   เพราะพระเป็นกลุ่มเดียวที่ผูกขาดศิลปวิทยาการ

ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

31.       ข้อใดแสดงความเจริญก้าวหน้าทางดาราศาสตร์อาหรับ

1.   การค้นพบทฤษฎีสุริยจักรวาล        

2.   การพัฒนาเครื่องมือที่ใช้สังเกตและคำนวณตำแหน่งของดวงดาว

3.   การสร้างกล้องโทรทัศนศึกษาการโคจรขางดาวเคราะห์

4.   การค้นพบวิธีการคำนวณระยะใกล้ไกลของดวงดาว

ตอบ 2       หน้า 258 – 25971 (H), (คำบรรยาย) อารยธรรมอาหรับหรือมอสเล็มในยุคกลางที่สำคัญ คือ 

1. ด้านคณิตศาสตร์ คือ การใช้เลขศูนย์และระบบทศนิยม รวมทั้งการพัฒนาวิชาพีชคณิต เรขาคณิตและตรีโกณมิติ                      

2. ด้านการแพทย์ คือ ประดิษฐ์ยาช่วยระงับความเจ็บปวด และริเริ่มการผ่าตัดตา          

3. ด้านดาราศาสตร์ คือ การพัฒนาเครื่องมือที่ใช้สังเกตและคำนวณตำแหน่งของดวงดาว การคำนวณระยะทางตามปีสุริยคติ และการเกิดอุปราคา ฯลฯ

32.       หัวใจของระบอบศักดินาสวามิภักดิ์คือความสัมพันธ์โดยมีเงื่อนไขระหว่างชนชั้นใด

1.   ชนชั้นสูงกับชนชั้นต่ำ                                                    2.   ขุนนางกับพ่อค้า

3.   ขุนนางกับเจ้านายและพ่อค้า                                          4.   เจ้าเหนือหัวกับบริวาร

             ตอบ 4       หน้า 223 – 22465 (H), (คำบรรยาย) ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์หรือระบอบฟิวดัล(Feudalism Feudal) มีหัวใจสำคัญ คือ เป็นระบบความสัมพันธ์โดยมีเงื่อนไขระหว่างเจ้าเหนือหัว (Lord) หรือผู้มีที่ดินจำนวนมากกับบริวารหรือข้า (Vassal) หรือผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยมี ที่ดิน (Fiefs/Feuda) เป็นพันธกิจแห่งความผูกพันและภาระหน้าที่ที่มีต่อกันนอกจากนี้ยังเป็นระบบการเมือง การปกครองในยุคกลางที่ขุนนางท้องถิ่นมีอำนาจอย่างแท้จริงเพราะพวกเสรีชนได้มอบที่ดินให้แก่ขุนนางเพื่อขอความคุ้มครองแทนการขอความคุ้มครองจากกษัตริย์ซึ่งอ่อนแอและมีฐานะเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น

33.       ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์เป็นระบบการเมืองที่มีเงื่องไขชัดเจนอะไร

             1.   เจ้ากับข้าต้องมีพันธกิจต่อกัน                                         2.   เจ้ากับข้าผลัดกันครองเมือง

             3.   การแบ่งแผ่นดินเสมอกัน                                                4.   การสาบานจงรักภักดีต่อกัน

             ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34.       ระบอบการปกครองแบบใดในยุคกลางที่กษัตริย์ทรงเป็นแต่เพียงหุ่นเชิด

             1.   ระบอบราชาธิปไตย                                                         2.   ระบอบประชาธิปไตย

             3.   ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์                                                4.   ระบอบทรราชย์

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ

35.       ในระบอบจักรพรรดิราชย์โรมัน จักรพรรดิทรงอ้างหลักการใดในการใช้พระราชอำนาจอย่างชอบธรรม

             1.   หลักการอำนาจเป็นของปวงชน                2.   หลักการของทหารร่วมการปกครอง

             3.   หลักการว่าด้วยจักรพรรดิทรงเป็นเทพ     

             4.   หลักการว่าจักรพรรดิทรงได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน

             ตอบ 3       หน้า 169 – 170, (คำบรรยาย) ในสมัยของออกุสตุสที่ 1 ซึ่งเป็นสมัยที่เริ่มต้นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือจักรพรรดิราชย์ของจักรวรรดิโรมันนั้น ถือเป็นยุคที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Roman’s Golden Age” (ยุคทองของโรมัน) และยังเป็นยุคที่จักรพรรดิโรมันมีอำนาจปกครองอย่างแท้จริงในฐานะของเทพเจ้า คือ จักรพรรดิทรงเป็นเทวราช ซึ่งปกครองจักรวรรดิ โดยรับผิดชอบต่อทวยเทพ แต่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน นอกจากนี้จักรพรรดิยังมีสิทธิเลือกรัชทายาทด้วยพระองค์เองอีกด้วย

36.       Lecion เป็นหน่วยรบแบบใด

             1.   กองทัพเกณฑ์         2.   กองทัพอาสาสมัคร                  3.   กองทัพเฉพาะกิจ                4.   กองทัพอาชีพ

             ตอบ 4       หน้า 155173 – 174 (คำบรรยาย) ในระหว่างศตวรรษที่ 4 B.C. กองทัพโรมันได้เลิกการใช้หอกยาวและการรบแบบทหารฟาแลนซ์ของกรีกมาเป็นกองทหารลีเจียน (Legion) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของกองทัพโดยมีหน่วยรบเป็นแบบกองทัพอาชีพหรือกองทัพประจำประมาณ 3,600 คนประกอบขึ้นเป็นหน่วยรบที่สำคัญ คือ ทหารราบและทหารม้า ซึ่งส่งผลให้โรมันมีการจัดทัพที่เป็นระเบียบและทำให้โรมกลายเป็นเจ้าครอบครองจักรวรรดิอันไพศาล

37.       เหตุใดจักรวรรดิโรมันจึงถือว่าศาสนาคริสต์เป็นลัทธิอุบาทว์

             1.   เพราะสอนให้นับถือพระเป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียว

             2.   เพราะชาวคริสต์จัดตั้งเป็นสมาคมชมรม

             3.   เพราะมีความเคลื่อนไหวก่อการร้าย                                     4.   เพราะมีลัทธิพิธีบูชาไฟ

ตอบ 1       หน้า 184 (คำบรรยาย) สาเหตุที่จักรวรรดิโรมันถือว่าศาสนาคริสต์เป็นลัทธิอุบาทว์และมีการปราบปรามอย่างมากมายนั้น เนื่องจาก

1. ผู้ที่เลื่อมใสศาสนาคริสต์มีการชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งโรมันถือว่าเป็นการเข้าข่ายซ่องสุมกำลังคนที่จะล้มอำนาจรัฐ

2. ศาสนาคริสต์สอนให้มนุษย์มีหน้าที่ต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งขัดต่อหน้าที่ของโรมันที่ทุกคนต้องมีหน้าต่อรัฐ

3. ศาสนาคริสต์สอนให้นับถือพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียว ซึ่งขัดต่อคติของโรมันที่ให้เคารพสักการะจักรพรรดิและถือว่าเป็นอธิปไตยสูงสุดที่ปรากฏในร่างของมนุษย์

38.       วิถีชีวิตโรมัน เป็นวิถีชีวิตที่ดำเนินไปในชุมชนแบบใด

1.   ในหมู่บ้าน

2.   ในเมือง

3.   ในชนบท

4.   ชุมชนแวดล้อมปราสาท

ตอบ 2       หน้า 177  วิถีชีวิตของชาวโรมันเป็นวิถีชีวิตที่ดำเนินไปในเมืองเป็นหลักและเน้นการมีกิจกรรมร่วมกันในที่สาธารณะ กล่าวคือ ชาวโรมันนิยมอาบน้ำสาธารณะและการกีฬา ซึ่งกีฬาที่นิยมกันมากได้แก่การแข่งรถศึกที่ Circus Maximus และการต่อสู้แบบรุนแรงป่าเถื่อนระหว่างคนกับคน และคนกับสัตว์แบบกลาดิเอเตอร์ (Gladiator) ซึ่งจากการที่ชาวโรมันได้เล่นกีฬาและมีการบันเทิงเริงรมย์ร่วมกันก็ได้ส่งผลให้ชาวโรมันมีความรู้สึกแตกต่างหรือเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางชนชั้นน้อยมาก

39.       ถนนโรมันมีลักษณะใดโดดเด่น

1.   ถนนคอนกรีตมีหลายชั้น

2.   ถนนโค้งเป็นหลังเต่า มีรางระบายน้ำสองข้าง

3.   ถนนคอนกรีตฝังท่อระบายน้ำ

4.   ถนนคอนกรีตมีวงกลมทุกสี่แยก

ตอบ 2       หน้า 176 (คำบรรยาย) แบบอย่างการสร้างถนนโรมันนั้นจะเขียนแบบมาจากกรีกแต่ถนนโรมันจะ มีลักษณะโดดเด่น คือ จะทำถนนโค้งเป็นหลังเต่า มีรางระบายน้ำอยู่สองข้างถนน ก่อขอบด้วยอิฐและเทคอนกรีตโรมันลงไป ซึ่งระบบก่อสร้างแบบรูปโค้งนี้ต่อมาก็ได้พัฒนานำไปสร้างสะพานส่งน้ำขึ้น เพื่อส่งน้ำไปยังนครต่าง ๆ ของโรมัน

40.       ข้อใดแสดงว่าอาณาจักรมีอำนาจเหนือศาสนจักรในจักรวรรดิไบแซนไทน์

1.   ระบอบ Caesaropapism                                   

2.   ระบอบ Principate

 3.   ระบอบ lmperator                                                            

4.   ระบอบ Augustus

ตอบ 1       (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 218222) ประมุขของอาณาจักรโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์จะปกครองประเทศด้วยความเข้มแข็งตามแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ถือว่าจักรพรรดิเป็นตัวแทนของพระเจ้า กล่าวคือ จักรพรรดิทรงมีอำนาจเหนือการปกครองทั้งอาณาจักรและศาสนจักรหรือเป็นผู้ใหญ่ทั้งทางโลกและทางธรรมตามระบอบที่เรียกว่า “Caesaropapism” ซึ่งมาจากคำว่า Caesar กับPope หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จักรพรรดิทรงมีสถานภาพเป็นทั้งกษัตริย์และประมุขทางศาสนา ซึ่งแสดงว่าอาณาจักรมีอิทธิพลและอำนาจเหนือศาสนจักร

41.       ประมวลกฎหมายจัสติเนียนเป็นประมวลกฎหมายที่พัฒนาปรับปรุงมาจากกฎหมายใด

1.   กฎหมายโรมัน     

2.   กฎหมายคอนสแตนติน             

3.   กฎหมายฮัมมูราบี          

4.   กฎหมายบาบิโลน

ตอบ  1  หน้า 25370 (H), (คำบรรยาย) ประมวลกฎหมายจัสติเนียน เป็นประมวลกฎหมายที่พัฒนาปรับปรุงมาจากกฎหมายโรมัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่กฎหมาย 12 โต๊ะและกฎหมายอื่นอีกที่กระจัดกระจายยากแก่การแก้ไข จึงได้นำมาปรับปรุงและรวบรวมตัวบทกฎหมายใหม่โดยประมวลกฎหมายจัสติเนียนประกาศใช้เมื่อ ค.ศ. 529 และถือเป็นประมวลกฎหมายแพ่งมีทั้งหมด 4 ภาค คือ   

1. ตัวบทกฎหมายแท้ ๆ  

2. ภาคผนวกของตัวบทกฎหมาย    

3. ความเห็นทางกฎหมายของนักนิติศาสตร์    

4. ตำรากฎหมายของนักศึกษา

42.       สถาปัตยกรรมไบแซนไทน์มีอิทธิพลแบบตะวันออกโดยดูจากรูปแบบใด

1.   หลังคาแหลมโค้ง อาคารเพรียว                                     2.   หลังคาโดม นิยมประดับแก้ว

3.   อาคารเหลี่ยม นิยมมีระเบียงรอบ                   4.   มีอาคารทรงกลมติดอยู่กับอาคารทรงเหลี่ยม

             ตอบ 2       หน้า 253 รูปแบบสถาปัตยกรรมของไบแซนไทน์นั้นจะมีลักษณะผสมผสานหลายรูปแบบโดยโบสถ์ที่สวยงามมาก คือ โบสถ์เซนต์โซเฟีย ซึ่งสร้างในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน นับได้ว่าเป็นตัว อย่างอันดีของการผสมผสานระหว่างศิลปะภาคตะวันออก คือ หลังคาโดม และนิยมประดับประดาด้วยแก้ว บวกกับศิลปะภาคตะวันตก คือ ศิลปะโรมันแบบอาคารเหลี่ยมพร้อมกับการตกแต่งด้วยหินอ่อนและโมเสก นอกจากนี้ทรวดทรงภายนอกก็ยังงดงามตามศิลปะกรีกด้วย

43.       ชาวไร่ชาวนาในยุคกลางเพาะปลูกพืชหมุนเวียน โดยใช้ระบบอะไรในการใช้ที่ดิน

             1.   ระบบนาสาม                     2.   ระบบล้อมรั้ว 3.   ระบบนาเปิด      4.   ระบบนาเลื่อนลอย

             ตอบ 1       หน้า 23666 (H), (คำบรรยาย) การเกษตรในระบอบฟิวดัลของยุคกลาง จะใช้ระบบนาสาม (Three Fields System) คือ การแบ่งที่ดินเป็น 3 แปลง แต่มีการเพาะปลูกพืชหมุนเวียนเพียงคราวละ 2 แปลงส่วนอีกแปลงหนึ่งพักว่างให้ที่ดินฟื้นตัว ครั้นฤดูกาลต่อมาจึงใช้ที่ดินว่างฝืนนั้นแล้วปล่อยแปลงอื่นให้ว่างแทน ทำสลับกันเช่นนี้ทุกปีเพื่ออนุรักษ์ดินและเพิ่มผลผลิต

44.       ทาสประเภทใดที่นายทาสจะเอาไปซื้อขายไม่ได้

             1.   ทาสเชลย                            2.   ทาส                  3.   ทาสติดที่ดิน                   4.   ทาสมรดก

             ตอบ 3       หน้า 228 (คำบรรยาย) ในสังคมยุคกลางถือว่าทาสเป็นอวิญญาณทรัพย์ คือ สามารถซื้อขายและยกเป็นมรดกตกทอดได้ ซึ่งต่างไปจากทาสติดที่ติน (Serfs) ที่เป็นชนชั้นพื้นฐานล่างสุดของสังคมเพราะทาสชนิดนี้จะไม่มีอิสรภาพ ซื้อขายไม่ได้ และเมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าของทาสติดที่ดินก็ยังคงอาศัยอยู่ที่เดิมโดยที่เจ้า (Lord) ไม่สามารถขับไล่ออกไปได้

45.       ข้อใดแสดงบทบาทอาณาจักรมิให้ศาสนจักรปกครองตนเอง

             1.   การออกฎหมายปกครองศาสนจักร                                               2.   การเกณฑ์พระเป็นทหาร

             3.   รัฐแทรกแซงและบังคับบัญชาพระ                                              4.   การตั้งศาลศาสนา

             ตอบ 3       หน้า 260 – 261, (คำบรรยาย) ในยุคกลางอันรุ่งเรืองได้เกิดการแข่งขันกันระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักร ซึ่งความขัดแย้งส่วนใหญ่มักจะมาจากทางฝั่งอาณาจักรที่ไม่ต้องการให้ศาสนจักรได้ปกครองตนเอง ดังนั้นรัฐจึงพยายามแทรกแซงและบังคับบัญชาพระทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การใช้อิทธิพลและอำนาจเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญของคริสตจักรทั้งนี้เพราะอาณาจักรถือว่าศาสนจักรเป็นเพียงฐานสนับสนุนอำนาจของกษัตริย์ และกษัตริย์จะต้องเป็นผู้แต่งตั้งทุกตำแหน่งในศาสนจักร

46.       เมื่อสิ้นยุคกลาง อาวุธอะไรที่มีพลานุภาพจนสามารถเป็นพลังอำนาจแห่งชาติได้

             1.   ปืนใหญ่                 2.   ปืนคาร์ไบน์                3.   ระเบิดดาวกระจาย                        4.   ทุ่นระเบิด

             ตอบ 1       (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 460 – 461) เมื่อสิ้นยุคกลาง อำนาจของกษัตริย์แห่งรัฐชาติเจริญมั่นคงขึ้นแทนที่อำนาจของศาสนจักรและขุนนางในระบอบฟิวดัลทีเสื่อมลง โดยปัจจัยที่ส่งเสริมอำนาจของกษัตริย์ก็คือ การปฏิวัติเทคโนโลยีทางการทหาร เมื่อมีการประดิษฐ์ปืนใหญ่ขึ้นใช้ ซึ่งถือเป็นอาวุธที่มีพลานุภาพจนสามารถเป็นพลังอำนาจแห่งชาติได้ โดยชาติใดที่ครอบครองปืนใหญ่มากก็จะทำให้ชาตินั้นกลายเป็นมหาอำนาจได้

47.       ออตโตมัน เตอร์ก สามารถควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเลระหว่างโลกตะวันตกกับโลกตะวันออกไว้ได้ด้วยเหตุใด

             1.   เพราะเป็นใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน                        2.   เพราะพิชิตอิตาลีซึ่งเป็นศูนย์การค้า

             3.   มีวิทยาการการค้าและธุรกิจเหนือกว่าชาวยุโรป             

             4.   เพราะเชี่ยวชาญการเดินเรือค้าขายมากที่สุด

             ตอบ 1       หน้า 256, (คำบรรยาย) ในยุคกลางหลังจากที่กลุ่มมุสลิมออโตมัน เตอร์ก สามารถยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1453 แล้ว ก็ได้รุกรานต่อไปยังเอเชียตะวันออกจนกลายเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลเป็นใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสามารถควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเลระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกไว้ได้ทั้งหมด ส่งผลให้ชาวยุโรปต้องแสวงหาดินแดนใหม่ เพื่อขยายเส้นทางการค้าสู่ตะวันออกอีกครั้งหนึ่ง

48.       เมื่อยุโรปมีการพัฒนาก่อเกิดประเทศชาติขึ้นในตอนกลางของยุคกลาง ทั้งอาณาจักรและศาสนจักรส่งเสริมการศึกษาด้วยจุดประสงค์ใด

             1.   ต้องการนักบริหารทรงคุณวุฒิ                                       2.   ต้องการให้ประชาชนมีความรู้

             3.   ต้องการให้ประชาชนเรียนรู้หนังสือ                           4.   ต้องการเผยแผ่ศาสนาโดยสื่อการศึกษา

             ตอบ 1       (คำบรรยาย) ในตอนกลางของยุคกลาง เมื่อยุโรปมีการพัฒนาก่อเกิดประเทศชาติขึ้นนั้นทั้งฝ่ายอาณาจักรคือ กษัตริย์และขุนนาง และฝ่ายศาสนจักรคือ พระหรือนักบวช ได้ส่งเสริมการศึกษาโดยมีการสนับสนุนให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาทุกระดับจนกระทั่งถึงระดับมหาวิทยาลัย เพราะต้องการนักบริหารที่ทรงคุณวุฒิและมีการศึกษาสูงเข้ามาทำงานในระบบราชการ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่จัดตั้งสถาบันการศึกษาก็ได้แก่ วัด สมาคมชมรม และสมาคมอาชีพ เป็นต้น

49.       เหตุใดมหาวิหาร (Cathedrals) ส่วนใหญ่จึงมีรูปแบบสถาปัตยกรรมหลายแบบซ้อนอยู่

             1.   เพราะสร้างหลายยุคสมัยต่อเนื่องกันมา           2.   เพราะผู้สร้างต้องการให้ยุคต่อมาสานต่อ

             3.   สร้างหลายครั้งเพราะมีงานก่อสร้างไม่พอ    4.   เพราะผู้สร้างมีรสนิยมเหมือนกันจึงมีหลายแบบ

             ตอบ  1      (คำบรรยาย) ในตอนปลายของยุคกลางนั้น บรรดานครต่าง ๆ มักจะนิยมแข่งกันสร้างมหาวิหาร (Cathedrals) ให้ใหญ่ที่สุด สวยที่สุด และสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อแสดงความมั่งคั่งและวัฒนธรรมอันสูงส่งของแต่ละนครนั้น ๆ ทั้งนี้มหาวิหารส่วนใหญ่ไม่ได้สร้างเสร็จภายในคราวเดียว แต่จะสร้างหลายยุคหลายสมัยต่อเนื่องกันมา จึงทำให้มหาวิหารมีรูปแบบสถาปัตยกรรมหลายแบบซ้อนกันอยู่

50.       การสร้างอาคารด้วยหิน มีขนาดใหญ่หนาหนัก มีหน้าต่างเล็ก ๆ นั้น เป็นความนินมรูปแบบ สถาปัตยกรรมใดของยุคกลาง         

             1.   Gothic                 2.   Neo-Classic                    3.   Romanesque 4.   Baroque

             ตอบ 3       หน้า 313326 – 327 ศิลปะโรมาเนสก์ (Romanesque) เป็นสถาปัตยกรรมยุคกลางในสมัยที่มนุษย์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระ โดยมีลักษณะเด่น คือ มีเพดานและหลังคาหินโค้งเหมือนประทุนเกวียนและโดมเป็นหัวใจในการก่อสร้าง ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากไบแซนไทน์และโรมัน นอกจากนี้วิหารและโบสถ์ยังมีขนาดใหญ่หนาทึบและคงทน มีสิ่งก่อสร้างด้วยหินโค้งกลม เสาและกำแพงหนาหนัก มีหน้าต่างเล็ก ๆ ทำให้ภายในวิหารค่อนข้างมืดจนดูเหมือนอยู่ในป้อมปราการมากกว่า

51.       ในยุคกลางมีความนิยมแบบแผนการศึกษาใดที่ขึ้นชื่อโดดเด่น

1.   Neo-Classicism และ Realism                                         

2.   Platoism และ Sophistism

3.   Scholasticism และ Skepticism                                      

4.   Sur-Realism และ Skepticism

ตอบ 3       หน้า 310 – 311326 (คำบรรยาย) แบบแผนการศึกษา ในยุคกลางที่ได้รับความนิยมขึ้นชื่อโดดเด่นมี 2 ปรัชญา คือ 

1. สกอลัสติก (Scholasticism) เป็นปรัชญาที่ไม่ส่งเสริมการคิดค้นหรือการทดลองใหม่แต่จะเน้นการเลียนแบบหรือว่าตามครูไปทุกๆ อย่าง รวมทั้งเริ่มมีการอ่านหนังสือของพวกนอกศาสนา เช่น อริสโตเติล ซึ่งช่วยสร้างความคิดเฉียบคม โดยการใช้หลักเหตุผลเชิงตรรกศาสตร์        

2. สเคปติซิสม์ (Skepticism) เป็นปรัชญาที่สอนไม่ให้เชื่อสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่จะเน้นการศึกษาด้วยวิธีการซักถาม ซึ่งทำให้มนุษย์มีโอกาสคิดและแสดงออกอย่างเสรี

52.       การพัฒนากฎหมาย การศาล และการคลัง เป็นการพัฒนาในปลายยุคกลางเพื่อการปกครองแบบใด

1.   ระบอบราชาธิปไตย

2.   ระบอบประชาธิปไตย

3.   ระบอบสาธารณรัฐ

4.   ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์

ตอบ 1 หน้า 293, (คำบรรยาย) ในปลายยุคกลางระบอบกษัตริย์แบบฟิวดัลล่มสลายไป ทำให้กษัตริย์เพิ่มพระราชอำนาจขึ้นมาใหม่และสามารถสถาปนารัฐชาติ (Nation States) ขึ้นมาได้ จึงมีการพัฒนาไปสู่การปกครองระบอบราชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่รวมอำนาจอยู่ที่ศูนย์กลาง โดยมีการจัดตั้งระบบราชการขึ้นมา และเน้นความสำคัญของการพัฒนากฎหมาย การศาล และการคลังซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของประเทศชาติ

53.       ที่ว่าจักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงมีเทวสิทธิ์ปกครองจักรวรรดินั้นหมายความว่าอะไร

1.   จักรพรรดิทรงเป็นเทวราช

2.   พระเป็นเจ้าเห็นชอบโปรดให้จักรพรรดิปกครอง

3.   จักรพรรดิทรงอวตารมาจากพระเป็นเจ้า

4.   สมเด็จพระสันตะปาปาทรงแต่งตั้งจักรพรรดิ

ตอบ 4 หน้า 218 – 220319 – 32063 (H) ชาร์เลอมาญ (Charlemagne) เป็นกษัตริย์ที่ทรงอานุภาพมากที่สุดของราชวงค์คาโรแลงเจียน และถือว่าทรงมีเทวสิทธิ์ปกครองจักรวรรดิทั้งนี้เพราะพระองค์ได้รับการสวมมงกุฎจากสันตะปาปาลีโอที่ 3 เพื่อสถาปนาให้ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งราชอาณาจักรโรมันอันศักดิสิทธิ์  (The Holy Roman Empire) ในปี ค.ศ. 800 ทั้งนี้ผลงานที่สำคัญของพระองค์คือ สามารถรวบรวมยุโรปตะวันตกให้เป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ ทรงส่งเสริมการศึกษา กำหนดรูปแบบการใช้เงินเหรียญ และกำหนดมาตราวัด

54.       เหตุการณ์ใดที่แสดงว่าอาณาจักรสามารถบังคับบัญชาศาสนจักรได้ในปลายยุคกลาง

1.   จักรพรรดิเฮนรี่ที่ 4 เข้าเฝ้าพระสันตะปาปา

2.   สมเด็จพระสันตะปาปาถวายพระมหามงกุฎแด่จักรพรรดิในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

3.   สมเด็จพระสันตะปาปาหลายองค์ประทับที่เมืองอาวิญยอง

4.   สมเด็จพระสันตะปาปาทรงแต่งตั้งกษัตริย์

ตอบ 3หน้า 300 – 30380 (H) สมัยการคุมขังแห่งบาบิโลเนียในตอนปลายยุคกลาง (Babylonian Captivity ค.ศ. 1305 – 1377) เป็นสมัยที่มีการเปรียบเทียบสันตะปาปาว่าเป็นเหมือนกับพวกยิวที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่กรุงบาบิโลนในยุคโบราณ เนื่องจากสันตะปาปาได้ย้ายที่ประทับจากกรุงโรมในอิตาลีมาอยู่ที่เมืองอาวิญยองในฝรั่งเศส ทำให้สันตะปาปาชาวฝรั่งเศสองค์ต่อ ๆ มาก็พำนักอยู่ในฝรั่งเศสเป็นเวลานานถึง 70 ปี ซึ่งเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรสามารถบังคับบัญชาศาสนจักรได้ ทำให้สันตะปาปาตกอยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์ฝรั่งเศสที่มีสิทธิแต่งตั้งและถอดถอนสันตะปาปา จนทำให้สันตะปาปามิได้มีฐานะเป็นประมุขสากลอีกต่อไป

55.       ประเทศใดในยุโรปในปลายยุคกลางที่ไม่มีองค์กรผู้แทนชนชั้นของทั้งประเทศ

 1.   สเปน

2.   เยอรมนี

3.   อังกฤษ

4.   ฝรั่งเศส

ตอบ 4       (คำบรรยาย) ประเทศฝรั่งเศสในปลายยุคกลางจะไม่มีองค์กรผู้แทนชนชั้นของทั้งประเทศมีแต่องค์กรระดับมณฑลที่เรียกว่า สภาฐานันดร (Estates-General) ซึ่งมี 3 ระดับ คือ

1. พระ เป็นเจ้าเหนือหัวทางจิตวิญญาณ                         

2. ขุนนาง เป็นเจ้าเหนือหัวทางโลก

3. สามัญชน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวเมือง

56.       เมื่อปิดฉากยุคกลาง ประเทศใดมีระบบรัฐสภาที่เข้มแข็งมีความหมายแท้จริง

1.   สเปน

2.   อังกฤษ

3.   ฝรั่งเศส

4.   เนเธอร์แลนด์

ตอบ 2 หน้า 275 – 27875 – 76 (H), (คำบรรยาย) เมื่อสิ้นยุคกลาง ระบบรัฐสภาของอังกฤษถือเป็นระบบองค์กรผู้แทนชนชั้นซึ่งมีความเข้มแข็งและมีความหมายแท้จริง โดยรัฐสภา (Parliament) ของอังกฤษประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาขุนนาง (House of Lords) และสภาสามัญชน (House of Commons) ทำหน้าที่พิจารณาเรื่องภาษี นิติบัญญัติ และการใช้พระราชอำนาจของกษัตริย์

57.       องค์กรใดของฝรั่งเศสที่มีลักษณะเป็นองค์กรผู้แทนใกล้เคียงกับ Parliamet ของอังกฤษในปลายยุคกลาง

1.   Parlements                         

2.   Estates-General                             

3.   Cortes                              

4.   Diet

ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 55. และ 56. ประกอบ

58.       Magna Carta มีหลักการอะไรสำคัญยิ่ง                                                             

1.   การปกครองโดยทุกชนชั้น

2.   ทุกชนชั้นอยู่ใต้กฎหมาย                 

3.   ความเสมอภาคและภราดรภาพ

4.   การจัดตั้งศาลสูงสุด

ตอบ 2       หน้า 27575 (H), (คำบรรยาย) ในปี ค.ศ. 1215 พระเจ้าจอห์นทรงถูกพวกขุนนางอังกฤษบังคับให้ลงนามในรัฐธรรมนูญแมกนา คาร์ตา (Magna Carta หรือ The Great Charter) ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอังกฤษ โดยมีหลักการที่สำคัญยิ่ง คือ กำหนดให้ทุกชนชั้นต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย นอกจากนี้ยังลดอำนาจของกษัตริย์ ให้ศาลยุติธรรมทำหน้าที่ตัดสินคดีความของเสรีชน การจัดเก็บภาษีต้องทำด้วยความยุติธรรม และมีการกล่าวถึงตัวบทกฎหมายอีกด้วย ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองในระบอบรัฐสภาของอังกฤษ

59.       แม้จะเป็นจักรวรรดิ แต่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มีระบบการปกครองแบบใดแท้จริง

1.   ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์

2.   ระบอบสาธารณรัฐ

3.   ระบบทรราชย์     

4.   ระบอบราชาธิปไตย

ตอบ 4       (คำบรรยาย) ระบอบราชาธิปไตยในจักรวรรดิโรมันจะมี 3 รูปแบบ คือ

1.   แบบจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์ ซึ่งเป็นระบอบที่จักรพรรดิทรงมีอำนาจเหนือการปกครองทั้งอาณาจักรและศาสนจักรที่เรียกว่า “Caesaropapism” 

2.   แบบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นระบอบที่ขุนนางมีอำนาจและมักจะประสานกับสันตะปาปาเป็นสำคัญ

3. ระบอบราชาธิปไตยแบบที่กษัตริย์นั้นแข่งขันอำนาจกับพวกขุนนางและพระ

60.       ในยุคกลางมีชนชั้นใดบ้างที่มีบทบาทสำคัญโดดเด่น

1.   พระและชาวนา

2.   พ่อค้าและขุนนาง

3.   นักบวชและขุนนาง

4.   นักรบและชาวนา

ตอบ 3       หน้า 304 – 305, (คำบรรยาย) การแบ่งชนชั้นในยุคกลางนั้นจะเป็นการแบ่งตามบทบาทหน้าที่ในสังคม ซึ่งมีอยู่ 3 ชนชั้น คือ

1. พระหรือนักบวชเป็นชนชั้นสูงสุดในสังคม มีหน้าที่สำคัญในการสวดมนต์และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแก่ประชาชนทำให้พระกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่ประชาชนต้องเสียภาษีให้และต้องปฏิบัติตามคำสั่ง

2. ขุนนาง เป็นอภิสิทธิ์ชน มีหน้าที่ร่างกฎหมายและระเบียบคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอกว่า

3. สามัญชน เป็นพวกไร้อภิสิทธิ์มีหน้าที่ใช้แรงงานทั่วไป ซึ่งได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ และช่างฝีมือ

61.       อะไรคือลักษณะเด่นของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

1.   การศึกษาศิลปะอียิปต์                                                                      

2.   วรรณกรรมวิจารณ์

3.   การศึกษาศิลปวิทยาการกรีกและโรมัน                                        

4.   การศึกษาศิลปกรรมกรีกและโรมัน

             ตอบ 3       หน้า 356-35892(H) การฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือเรอเนสซองส์ (Renaissance) คือการเกิดใหม่ของอารยธรรมคลาสสิกหรือเป็นการศึกษาศิลปวิทยาการกรีก-โรมันขึ้นมาใหม่ ซึ่งในทางโลกจะเน้นที่งานศิลป์ แต่ในส่วนของมนุษยนิยมจะเน้นที่งานวรรณกรรม ทั้งนี้การฟื้นฟูศิลปวิทยาการได้ก่อให้เกิดผลงานทั้งทางด้านศิลปะ การประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ และการกำเนิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

62.       ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ มีการเผยแพร่ศิลปวิทยาการโดยใช้อะไรเป็นสื่อสำคัญ

             1.   การพิมพ์                2.   การสอน                       3.   ถูกข้อ 1 และ 2                  4.   การบอกเล่า

             ตอบ 1       หน้า 355 – 357372 – 375 ผลจากการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ได้แก่ 1. เกิดวรรณคดีซึ่งให้ความสนใจในเรื่องมนุษยนิยม (Humanism)  2. เกิดการปกครองในระบอบราชาธิปไตย  3. เกิดการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ ซึ่งเทคโนโลยีการพิมพ์นี้ทำให้มีการเผยแพร่ศิลปวิทยาการได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น   4.เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์   5.เกิดการปฏิรูปศาสนา ฯลฯ

63.       ในศตวรรษที่ 17 เหตุใดวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปจึงไม่ก้าวหน้า

             1.   ศาสนจักรขัดขวางการสอน                                            2.   ขาดเครื่องมือที่จะสังเกตและคำนวณ

             3.   รัฐไม่สนับสนุนการวิจัย                                  4.   ภาวะจลาจลทำให้ไม่สนใจวิทยาศาสตร์

             ตอบ 2       หน้า 373, (คำบรรยาย) การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (ระหว่างปี ค.ศ. 1500 – 1700) ที่เกิดขึ้นในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการนั้น แสดงให้เป็นว่าคนเริ่มมีความสนใจศึกษาหาความรู้เพิ่มมากขึ้นเพื่อพยายามที่จะเข้าใจธรรมชาติและค้นหากฎของธรรมชาติ แต่ทั้งนี้วิทยาศาสตร์ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการก็ยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร เพราะขาดเครื่องมือที่จะใช้ในการสังเกตและคำนวณ

64.       ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 การพิสูจน์และการตั้งทฤษฎีมีวิธีการใดเป็นพื้นฐาน

             1.   การคำนวณ           2.   การสืบค้นวิธีการพิเศษ               3.   การตั้งข้อสมมุติฐาน          4.   การทดลอง

             ตอบ 3       หน้า 37339597 (H), (คำบรรยาย) การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ของยุโรปเริ่มต้นยุคใหม่นั้นเป็นการปฏิวัติที่อาศัยการสังเกต ประสบการณ์ และการทดลองเป็นเครื่องมือหลัก โดยวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเริ่มต้นมาจากการตั้งข้อสมมุติฐานเป็นพื้นฐานก่อน แล้วจึงแสวงหาข้อมูลเพื่อที่จะทดลองและพิสูจน์ข้อสมมุติฐานนั้นเป็นจริงตามที่พิสูจน์ก็จะมีการตั้งขึ้นเป็นทฤษฎี และถ้าหากทฤษฎีเป็นที่ยอมรับมากขึ้นตามลำดับ ทฤษฎีนั้นก็จะกลายเป็นองค์ความรู้ที่ได้รับการยอมรับ

65.       การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นไปได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยอาศัยอะไร

             1.   วิทยาศาสตร์                       2.   เทคโนโลยี                      3.   การค้า                              4.   ถูกข้อ 1 และ 2

             ตอบ 3       หน้า 343 – 344, (คำบรรยาย) การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นด้วยสาเหตุต่อเนื่องหลายประการคือ 1. การปฏิวัติทางการค้าได้ทำให้เกิดชนชั้นนายทุนที่แสวงหาผลกำไรมากขึ้นเรื่อย ๆ    2. ลัทธิพาณิชย์ชาตินิยมส่งเสริมให้มีการป้องกันอุตสาหกรรมขนาดเล็กและเพิ่มผลผลิตเพื่อส่งเป็นสินค้าออก   3. ตลาดต้องการสินค้าจำนวนมาก และสินค้าบางชนิดก็มีความจำเป็นมากขึ้น ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้มีการนำเอาเครื่องจักรมาใช้ในการผลิตสินค้าอย่างรวดเร็วและให้ได้ปริมาณมากขึ้น ฯลฯ

66.       กำลังพลังงานใดที่ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งยุควิทยาศาสตร์

             1.   ทองคำ                                2.   ถ่านหิน                           3.   เครื่องจักร                       4.   แก๊ส

             ตอบ 4       (คำบรรยาย) ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ได้นำไปสู่การพัฒนากำลังและพลังงานที่สำคัญคือไฟฟ้า แก๊ส น้ำ น้ำมัน แล้วจึงได้พัฒนามาเป็นการใช้เครื่องจักรซึ่งถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งยุค                วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเครื่องจักรไอน้ำถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง จนอาจกล่าวได้ว่ายุโรปครองโลกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้เพราะเครื่องจักรไอน้ำมากกว่าอย่างอื่น

67.       การปฏิวัติอุตสาหกรรมมุ่งเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำมาหากินแบบเดิมอะไร       

             1.   เศรษฐกิจพอเพียง                                                             2.   การเกษตรเพื่อการค้า                   

             3.   ระบบศักดินาสวามิภักดิ์                                  4.   เศรษฐกิจการเกษตร

             ตอบ 4       หน้า 494561 การปฏิวัติอุตสาหกรรม หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ จากสังคมเกษตรกรรมและการค้าแบบเก่ามาเป็นสังคมอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานคนและสัตว์ โดยมีการพัฒนารูปแบบของกำลังใหม่ ๆ คือ น้ำ ไอน้ำ ไฟฟ้า น้ำมัน และพลังงานปรมาณู นอกจากนี้ยังมีการผลิตสินค้าหลายประเภทเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการอพยพจากชนบทเข้าสู่เมืองด้วย

68.       ชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ ถือกำเนิดมาจากอะไร

             1.   สังคมยุคกลาง                    2.   การค้าขาย                       3.   ลัทธิทุนนิยมผูกขาด                      4.   โรงงาน

             ตอบ 4       หน้า 494 – 495499124 (H), (คำบรรยาย) ระบบโรงงานอุตสาหกรรมได้ก่อให้เกิดชนชั้นใหม่ที่ทำให้ช่องว่างและความแตกต่างระหว่างชนชั้นมีมากขึ้น คือ 1. ชนชั้นนายทุน หรือชนชั้นกลางส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะดี และเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตจึงเป็นผู้กุมอำนาจทางสังคม   2. ชนชั้น           กรรมาชีพ หรือผู้ใช้แรงงาน เป็นชนชั้นที่ยากจน และจำเป็นต้องอาศัยค่าแรงงานเป็นเครื่องยังชีพจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกนายทุน

69.       ข้อใดแสดงว่าการเมืองการปกครองเดิมมีความเจริญทันสมัยในปลายยุคกลาง

             1.   มีระบบกงสุล องค์กรผู้แทนและการศาล     2.   มีระบบทรราชย์ องค์กรผู้แทนและการศาล

             3.   มีระบอบราชาธิปไตย กองทัพและการศาล

             4.   มีระบบราชการ การศาล การจัดเก็บภาษี และการมีองค์กรผู้แทนประชาชน

             ตอบ 4       (คำบรรยาย) ตั้งแต่ยุคกลางในปี ค.ศ. 1100 เป็นต้นมาจนถึงสมัยปลายยุคกลางนั้นสิ่งที่แสดงว่าการเมืองการปกครองในยุโรปเริ่มมีความเจริญและทันสมัย คือ การมีระบบราชการ มีระบบการศาลที่         มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจโดยการส่งผู้พิพากษาไปตรวจราชการ มีระบบการจัดเก็บภาษีและการมีองค์กรผู้แทนประชาชน

70.       เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติสุข ระเบียบแบบแผนและความมั่นคงปลอดภัย ชาวยุโรปในต้นยุคใหม่ต้องการ

             ปกครองระบอบใด                                

             1.   ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์                                                2.   ระบอบราชาธิปไตย                                     

             3.   ระบอบทรราชย์                                                                4.   ระบอบประชาธิปไตย

             ตอบ 2       หน้า 332 – 335402105 (H), (คำบรรยาย) ชาวยุโรปในต้นยุคใหม่จะต้องการการปกครองในระบอบราชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง คือ กษัตริย์จะมีอำนาจสูงสุดและเด็ดขาด เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติสุข ระเบียบแบบแผนและความมั่นคงปลอดภัยโดยกษัตริย์ทรงได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นกลางในการปราบปราม      ขุนนางและศาสนจักรให้เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจ ซึ่งเป็นผลให้ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์สิ้นสุดลง

71.       ในต้นยุคใหม่ ชนชั้นใดมีบทบาทสำคัญในการล้มล้างระบอบศักดินาสวามิภักดิ์

1.   ชนชั้นสูง              

2.   สามัญชน                     

3.   ชนชั้นกลาง                   

4.   ชนชั้นทาส

ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

72.       ในศตวรรษที่ 18 ระบอบเก่าในยุโรปหมายถึงระบอบอะไร                                         

1.   ระบอบทรราชย์                                                                

2.   ระบอบประชาธิปไตย                 

3.   ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

4.   ระบอบกงสุล

ตอบ 3       หน้า 455461, (คำบรรยาย) การปฏิวัติทางการเมืองในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 – 20 เป็นการต่อต้านเพื่อล้มระบอบเก่า คือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบการปกครองแบบรวมอำนาจที่กษัตริย์ทรงใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขต นอกจากนี้พวกอภิสิทธิ์ชน (ชนชั้นสูง) ยังเอารัดเอาเปรียบคนจน จนทำให้เกิดความไม่เสมอภาคทางการเมืองและสังคม ซึ่งเป็นเหตุให้ชนชั้นกลางออกมาต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิมนุษยชนและหน้าที่อันเท่าเทียมกันในสังคมและต้องการมีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ เพื่อเปลี่ยนการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด

73.       ชนชั้นใดอุปถัมภ์ศิลปวิทยาการในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

             1.   สามัญชนและพ่อค้า                                                         2.   พ่อค้าและช่างศิลป์

             3.   ชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง                                             4.   ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางระดับสูง

             ตอบ 3       หน้า 357 – 35892 (H), (คำบรรยาย) การฟื้นฟูศิลปวิทยาการได้รับการอุปถัมภ์จากชน 2 กลุ่ม คือ  1. ชนชั้นสูง ซึ่งเกิดจากการที่รัฐต่าง ๆ มั่งคั่งจากการค้า และมีเสรีภาพมากสามารถสนับสนุนให้กำลังใจแก่นักปราชญ์ นักประพันธ์ ช่างฝีมือ และช่างศิลป์    2. ชนชั้นกลาง ซึ่งร่ำรวยจากอาชีพการค้า ต้องการมีชีวิตที่มีความสุขและอยากจะมีรสนิยมสูงทำ                      ให้มีการส่งเสริมศิลปะจนนำไปสู่การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

74.       ลัทธิมนุษยธรรมนิยม สอนให้นิยมเทิดทูนอะไร

             1.   ธรรมชาติและปรัชญา                                                     2.   ธรรมชาติและมนุษย์    

             3.   มนุษย์และปรัชญา                                                            4.   มนุษย์และศาสนา

             ตอบ 2       หน้า 35795 (H), (คำบรรยาย) ปรัชญาที่เด่นและมีอิทธิพลมากที่สุดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ คือ  มนุษยธรรมนิยม หรือมนุษยนิยม (Humanism) ซึ่งมีความหมายกว้าง ๆ ถึง การเทิดทูนมนุษย์และธรรมชาติมากกว่าเทพเจ้าหรือเรื่องของโลกอื่น” หรืออาจตีความในวงแคบว่า เป็นความกระหือรือร้นสนใจในข้อเขียนสมัยคลาสสิกที่เน้นความสนใจในเรื่องของมนุษย์เป็นสำคัญ”  ซึ่งความหมายอันนี้เป็นการตีความหมายในชั้นแรกของพวกที่เริ่มการฟื้นฟูศิลปวิทยา

75.       ตั้งแต่ปลายยุคกลาง คริสตจักรตกเป็นเป้าแห่งการวิจารณ์เรื่องใดเป็นสำคัญ            

             1.   การประพฤติผิดวินัย                                                        2.   การแตกแยกนิกาย

             3.   การขัดแย้งกับพระสันตะปาปา                                      4.   การจัดตั้งกองทัพ

             ตอบ 1       หน้า 37797 (H), (คำบรรยาย) สาเหตุทางสังคมที่ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนาตั้งแต่ปลายยุคกลาง  มีดังนี้ 1. มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการฉ้อฉลและความประพฤติที่ผิดวินัยผิดศีลธรรมของพระหรือคณะนักบวชกับเจ้าหน้าที่ศาสนา ซึ่งนับว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่สุด เช่น การซื้อขายตำแหน่งและบรรดาศักดิ์ของพระที่เรียกว่า “Nepotism” 2. การมุ่งพิธีกรรมมากเกินไป 3. ถูกโจมตีจากนักมนุษยนิยมว่า มนุษย์ควรสนใจโลกนี้มากกว่าโลกหน้า

76.       การปฏิรูปศาสนาเป็นผลมาจากกระบวนการอะไร

             1.   การปฏิวัติวิทยาศาสตร์                                                     2.   การปฏิวัติการค้า

             3.   การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ                                   4.   การปฏิวัติอุตสาหกรรม

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

77.       เหตุใดการปฏิรูปศาสนาจึงนำไปสู่สงครามกลางเมือง

             1.   ความขัดแย้งว่าด้วยการบูชารูปเคารพ          

             2.   ความพยายามที่จะให้ทั้งประเทศถือศาสนานิกายเดียวกัน

             3.   ความพยายามที่จะให้กษัตริย์ถือศาสนานิกายเดียวกันกับราษฎร

             4.   ความพยายามของอาณาจักรที่จะแต่งตั้งพระสันตะปาปาเอง

             ตอบ 2       หน้า 386101 (H), (คำบรรยาย) การปฏิรูปศาสนาในตอนต้นศตวรรษที่ 16 เป็นการปฏิรูปตัวบุคคล(นักบวช) และตัวสถาบัน (คริสตจักร) ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปหลักธรรมและหลักปฏิบัติให้มีหลักขันติธรรมในการนับถือ แต่การปฏิรูปก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเรื่องของการเมือง โดยมีสาเหตุมาจากความพยายามที่จะให้ทั้งประเทศนับถือศาสนานิกายเดียวกัน ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐต่าง ๆ ขึ้น จนเมื่อสิ้นศตวรรษที่ 17 จึงได้มีการประกาศยุติปัญหาความแตกแยกของคริสตจักร คือ การประกาศให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์ต่างนิกาย คือ นิกายคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์ได้

78.       ข้อใดแสดงการยุติปัญหาความแตกแยกของคริสตจักรเมื่อสิ้นศตวรรษที่ 17

             1.   พระสันตะปาปาทรงครองราชย์ในยุโรป 

             2.   การประกาศให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์ต่างนิกายได้

             3.   คำประกาศสิทธิมนุษยชน                          4.   คำประกาศสิทธิโดยธรรมชาติ

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 77. ประกอบ

79.       ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปใช้ประโยชน์อเนกอนันต์ของวิทยาศาสตร์และหลักเหตุผลเพื่ออะไร

             1.   เพื่อรอดพ้นจากอำนาจศาสนจักร                  2.   เพื่อสร้างความเจริญ

             3.   เพื่อแสวงหาสัจธรรมสูงสุด                                            4.   เพื่อหวนคืนสู่ธรรมชาติ

             ตอบ 2       หน้า 521, (คำบรรยาย) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปใช้ประโยชน์อเนกอนันต์ของวิทยาศาสตร์และหลักเหตุผลเพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้า นอกจากนี้ยังนับเป็นการปฏิวัติทางปัญญาที่สำคัญที่ผู้ได้รับการศึกษาในทุกหนแห่งจะมีทัศนคติต่อจักรวาลและมนุษย์แบบใหม่ คือ การไม่ยอมรับความคิดใดง่าย ๆ จนกว่าจะตั้งข้อสงสัยและซักถามก่อน ดังนั้นจึงเริ่มมีลัทธิสัจนิยมและวัตถุนิยม ซึ่งถือเป็นรูปแบบของสมัยใหม่อย่างแท้จริง

80.       ข้อใดคือผลของกระบวนการสร้างความเจริญและทันสมัยเมื่อถึง ค.ศ. 1914

             1.   ยุโรปสร้างยุโรปสองในอเมริกา                    2.   กระบวนการนาครธรรมในยุโรป

             3.   ยุโรปมีอำนาจและมั่งคั่งที่สุดในโลก           

             4.   สงครามโลกระหว่างลัทธิทุนนิยมกับลัทธิคอมมิวนิสต์

             ตอบ 3       (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 520 – 521), (คำบรรยาย) เมื่อถึงปี ค.ศ. 1914 ผลของกระบวนการสร้างความเจริญและทันสมัยนั้น ทำให้ยุโรปกลายเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจและความมั่งคั่งที่สุดในโลก เพราะยุโรปเป็นทวีปแรกที่มีการพัฒนาทั่วไปให้เจริญทันสมัยก่อนทวีปอื่น ๆ ทั้งหมด ซึ่งกระบวนการพัฒนาให้เจริญและทันสมัยจะปรากฏในด้านการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการปฏิวัติทางการเมืองตามลำดับ

81.       ข้อใดคือหลักการเบื้องต้นของลัทธิเสรีนิยม

1.   การต่อสู้ระหว่างชนชั้น                  

2.   การปกครองที่ใช้กฎหมาย คือ อนาธิปไตย

3.   การรวมอำนาจอยู่ที่ศูนย์กลาง                        

4.   ความต้องการลัทธิเสรีภาพและความเสมอภาค

             ตอบ 4       หน้า 479490499, (คำบรรยาย) หลักการเบื้องต้นของลัทธิเสรีนิยมเมื่อมีการปฏิวัติทางการเมืองในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19  ได้แก่ ความต้องการสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคตามกฎหมาย และเรียกร้องการปกครองโดยมีผู้แทน นอกจากนี้ยังได้เรียกร้องให้ล้มเลิกระบบผูกขาดทางการค้า และใช้นโยบายการค้าเสรี (Laissez-Faire) หรือนโยบายปล่อยเสรี คือ การที่รัฐบาลไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงทางด้านเศรษฐกิจ

82.       ใน ค.ศ. 1688 การปฏิวัติในอังกฤษทำให้เกิดผลอะไร                                   

             1.   พระราชอำนาจเด็ดขาดมั่นคง                                        2.   ระบบรัฐสภามีอำนาจสูงสุด       

             3.   กษัตริย์ในสภาขุนนาง                                                     4.   การสถาปนาจักรภพอังกฤษ

             ตอบ 2       หน้า 417108 (H) ผลของการปฏิวัติอันรุ่งเรืองในอังกฤษในปี ค.ศ. 1688 มีดังนี้

1. ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในอังกฤษสิ้นสุดลงและเปลี่ยนไปสู่การปกครองในระบอบรัฐสภาซึ่งเป็นการปกครองที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ    2. รัฐสภามีอำนาจสูงสุด 3. ฐานะของพวกโปรเตสแตนต์มีความมั่นคงขึ้น     4. กษัตริย์จะประกาศสงครามจัดกองทัพ หรือแต่งตั้งรัฐมนตรีคนใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาก่อน

83.       การปฏิวัติทางการเมืองในศตวรรษที่ 19 เป็นความพยายามสร้างการปกครองที่มีอะไรเป็นองค์ประกอบหลัก  

             1.   ระบบการปกครองมีกษัตริย์เหนือกฎหมาย                  2.   ระบบการปกครองมีรัฐธรรมนูญ

             3.   ระบบการปกครองมีชนชั้นสูงเป็นใหญ่           4.   ระบบการปกครองมีชนชั้นกรรมาชีพเป็นใหญ่

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

84.       การปฏิวัติทางการเมืองในศตวรรษที่ 19 มีหลักการอะไรเป็นสำคัญ

             1.   การค้าเสรี           2.   สิทธิมนุษยชน               3.   เชิดชูกษัตริย์                   4.   ประชาธิปไตยยูโทเปีย

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

85.       การชุมนุมแสดงออกทางการเมืองในโลกปัจจุบัน ส่วนใหญ่เรียกร้องหลักการอะไรของประเทศใด

             1.   การต่อสู้ระหว่างชนชั้นของเยอรมนี            2.   การประกอบการอิสระ

             3.   ความเป็นธรรมของสังคม                               4.   อิสรเสรี เสมอภาค และภราดรภาพของฝรั่งเศส

             ตอบ 4       หน้า 447114 (H), (คำบรรยาย) การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 ได้ส่งผลให้มีการเผยแพร่แนวความคิดของการปฏิวัติออกไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรปโดยเฉพาะคัมภีร์ของการปฏิวัติใหญ่ ในฝรั่งเศส ได้แก่ คำขวัญที่ว่า อิสรภาพ (Liberty) เสมอภาค (Equality) และภราดรภาพ (Fraternity)” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหลักการที่แพร่หลายและปรากฏในการปฏิวัติทางการเมืองทุกหนแห่งในโลกปัจจุบัน

86.       การปฏิวัติฝรั่งเศสทำให้เกิดการปฏิวัติโดยชนชั้นใดในศตวรรษที่ 19

             1.   ชนชั้นสูง           2.   ชนชั้นสามัญ                  3.   ชนชั้นพระ                     4.   ชนชั้นกลาง

             ตอบ 4       หน้า 461 – 462114 – 115 (H) การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 เป็นการปฏิวัติภายใต้การนำของชนชั้นกลางที่ต้องการล้มระบอบอภิสิทธิ์และต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเก่าหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการปฏิวัติทางการเมืองของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 17 – 20 (ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ)

87.       นักเสรีนิยมเรียกร้องต้องการอะไรเป็นเบื้องต้นในการปฏิวัติทางการเมืองในศตวรรษที่ 19

             1.   ล้มล้างสมาคมการค้า                        2.   ล้มเลิกระบบผูกขาดการค้า          3.   สิทธิยับยั้งกฎหมาย    

             4.   ล้มเลิกอภิสิทธิ์

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

88.       ความขัดแย้งทางการเมืองในศตวรรษที่ 19 เป็นความขัดแย้งเรื่องอะไร

             1.   ระดับขั้นตอนของสิทธิเสรีภาพและรูปแบบการปกครอง 

             2.   สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล และเจตจำนงส่วนรวม

             3.   วิธีการเลือกตั้งประธานาธิบดี                        4.   รัฐสภามีอำนาจมากเกินไป

             ตอบ 1       หน้า 472477 – 479118 (H) (คำบรรยาย) ในศตวรรษที่ 19 ความขัดแย้งทางการเมืองในยุโรปเป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมใน 2 ประเด็น คือ

1.   รูปแบบการปกครอง คือ ฝ่ายเสรีนิยมเรียกร้องการรวมชาติเพื่อการปกครองระบอบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในขณะที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะต่อสู้เพื่อรักษาระบอบเก่า คือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

2.   ระดับขั้นตอนของสิทธิเสรีภาพ คือ ฝ่ายอนุรักษนิยมต้องการที่จะฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์ตามระบอบเก่า ซึ่งเป็นระบอบที่ขัดขวางสิทธิหน้าที่มนุษยชน ในขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมเรียกร้องเสรีภาพและความเสมอภาค โดยเฉพาะสิทธิร่วมทางการเมือง

89.       ตามระบอบเก่าของศตวรรษที่ 18 กบฏประชาชนถือว่าเป็นอะไร

1.   ทรยศต่อรัฐ

2.   สิทธิชอบธรรม

3.   ทรยศต่อฟ้าดิน

4.   ผิดบาปใหญ่หลวง

ตอบ 4       หน้า 402 – 403, (คำบรรยาย) ตามระบอบเก่าหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 17 – 18 กษัตริย์ทรงอ้างว่าเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าที่ถูกส่งลงมาปกครองมนุษย์และทรงได้รับอำนาจเทวสิทธิ์มาจากพระเจ้า ซึ่งต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ดังนั้นประชาชนจึงไม่มีสิทธิที่จะปลดกษัตริย์ออกจากตำแหน่ง เพราะถ้าหากคิดล้มกษัตริย์จะถือว่าเป็นความผิดและเป็นบาปใหญ่หลวง นอกจากนี้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังถือว่าความคิดริเริ่มของผู้ปกครอง คือ นโยบายแห่งรัฐ พระราชสำนักเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลกลาง และมี            กฎหมายสนองตอบที่ให้คุณให้โทษแก่บรรดาขุนนางและข้าราชการทั้งหลาย

90.       เหตุใดประชาชนทั่วไปส่งเสริมให้มีการสร้างระบอบการปกครองใหม่ในต้นยุคใหม่

1.   ไม่นิยมเจ้า

2.   ไม่นิยมพ่อค้า

3.   ไม่นิยมชนชั้นกลาง              

4.   ไม่นิยมพระและขุนนาง

ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

91.       ระบอบเก่าเป็นระบอบการปกครองที่ใช้อำนาจแบบใดในศตวรรษที่ 18

1.   รวมอำนาจ         

2.   กระจายอำนาจ               

3.   กึ่งรวมอำนาจ                 

4.   กึ่งกระจายอำนาจ

 ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

92.       ระบอบการปกครองใดที่ถือว่าความคิดริเริ่มของผู้ปกครองคือนโยบายแห่งรัฐ โดยมีกฎหมายสนองตอบ

1.   ระบบทรราชย์                   

2.   ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์                   

3.   ระบอบประชาธิปไตย   

4.   ระบอบกงสุล

ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 89. ประกอบ

93.       หัวใจหลักของการปฏิวัติทางการเมืองตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 17 คืออะไร

1.   การล้มล้างระบอบประชาธิปไตย

2.   การขจัดอำนาจทรงพลังของคริสตจักร

3.   การล้มล้างระบบเทวราชาธิปไตย

4.   การสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ตอบ 3       (คำบรรยาย) หัวใจหลักของการปฏิวัติทางการเมืองในยุโรประหว่างปี ค.ศ. 1650 – 1917 เกิดขึ้นเนื่องมาจากความต้องการล้มล้างระบบเทวราชาธิปไตย นั่นคือ ระบอบที่กษัตริย์ตั้งตนเป็นเทพและมีสิทธิที่จะปกครองประชาชน เพราะได้รับความเห็นชอบจากพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนแล้ว ซึ่งตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ได้เกิดกระแสความไม่นิยมในระบอบนี้ เพราะปิดกั้นสิทธิและหน้าที่ของมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพทางการเมือง

94.       สมัยประเทืองปัญญามีความคิดหลักอะไร

1.   มนุษย์อยู่ภายใต้ชะตาฟ้าลิขิต

2.   ธรรมชาติมีกฎเกณฑ์แน่นอน

3.   มนุษย์ควรถูกปกครองอย่างไร

4.   รู้จักมนุษย์โดยเรียนรู้จากธรรมชาติ

             ตอบ 3       หน้า 442 – 443 ในสมัยประเทืองปัญญา (The Enlightenment) ความสนใจของมนุษย์ในชาติตะวันตกจะเน้นความคิดหลักที่ว่า มนุษย์ควรจะถูกปกครองอย่างไร” นอกจากนี้ยังเป็นยุคที่เน้นความสำคัญของเหตุผลมนุษย์ในฐานะที่เป็นพื้นฐานแห่งความเจริญก้าวหน้าโดยมีการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์คือ เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นยุคที่มีการเทิดทูนสภาวะของปัจเจกชนอย่างเต็มกำลัง

95.       ประเทศใดในปลายศตวรรษที่ 18 ที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับระบอบเก่า แต่ก็เป็นแกนกลางของการสร้างระบอบใหม่ด้วย 

1.   อังกฤษ

2.   ฝรั่งเศส

3.   เยอรมนี

4.   รัสเชีย

ตอบ 2       หน้า 403114 – 115 (H), (คำบรรยาย) พื้นฐานแห่งการปฏิวัติทางการเมืองในยุโรปในปลายศตวรรษที่ 18 คือ การปฏิบัติในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1789 เนื่องจากฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับหรือแกนกลางของระบอบเก่า (ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์) แต่ต่อมาฝรั่งเศสก็กลายเป็นแกนกลางแห่งการปฏิวัติเพื่อสร้างระบอบใหม่ (ระบอบประชาธิปไตย) ของศตวรรษที่ 19 ด้วย และถึงแม้ผลของการปฏิวัติฝรั่งเศสจะลงเอยด้วยการปกครองตามระบอบเก่าเหมือนเดิม แต่ก็ถือว่าฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางของการเผยแพร่ความคิดในการปฏิวัติให้ขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วยุโรป

96.       ระบอบใหม่ของศตวรรษที่ 19 คือระบบอะไร

1.   ระบอบคอมมิวนิสต์

2.   ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

3.   ระบอบประชาธิปไตย

4.   ระบอบสังคมนิยม

ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 95. ประกอบ

97.       ในศตวรรษที่ 19 มีปัจจัยใดประจวบเหมาะในการล้มล้างระบอบเก่า

1.   ความทุกข์ยาก ความไม่พอใจทางการเมือง และความไม่เป็นธรรมในสังคม

2.   ชนชั้นสูงตกต่ำ ชนชั้นกลางปลุกระดมมวลชนโฆษณาชวนเชื่อ

3.   ลัทธิเสรีประชาธิปไตยขัดแย้งกับลัทธิสังคมนิยม

4.   การนัดหยุดงานและขบวนการเรียกร้องขอสิทธิทางการเมือง

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ในศตวรรษที่ 19 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการล้มล้างระบอบเก่ามี 3 ประการ คือ

1. ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความทุกข์ยาก  

2. ความไม่พอใจทางการเมือง                

3. ความไม่เป็นธรรมในสังคม

98.       ตั้งแต่ ค.ศ. 1871 แผนที่ยุโรปเปลี่ยนครั้งใหญ่สืบเนื่องจากอะไร

1.   การรวมเบลเยียม

2.   การรวมเยอรมนี

3.   การรวมโปแลนด์

4.   บอลข่านมีเอกราช

 ตอบ 2       หน้า 512 – 519119 (H), 24 – 129 (H), (คำบรรยาย) จากการที่ประเทศอิตาลีและเยอรมนีสามารถรวมประเทศได้เป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1870 และ ค.ศ. 1871 ตามลำดับ ได้แสดงให้เห็นถึงชัยชนะของลัทธิชาตินิยมและเสรีนิยมว่ามีบทบาทส่งเสริมทำให้เกิดการรวมประเทศเยอรมนีและอิตาลีขึ้นซึ่งนับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้แผนที่ยุโรปเปลี่ยนแปลงไปและส่งผลให้ดุลยภาพแห่งอำนาจ (Balance of Power) ได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากเกิดประเทศมหาอำนาจขึ้นคือ ประเทศเยอรมนีและอิตาลี

99.       การล่าอาณานิคมอีกตั้งแต่ ค.ศ. 1871 เกิดจากความจำเป็นด้านใด

1.    การแผ่ขยายอำนาจทั่วโลกยุโรป

2.   การแผ่ขยายการค้าไปทั่วโลก

3.   การสร้างพันธมิตร

4. เศรษฐกิจการเกษตรเติบใหญ่

ตอบ 2       หน้า 523 – 524130 – 131 (H) สาเหตุที่ทำให้ในระหว่างปี ค.ศ. 1871 – 1914 ประเทศมหาอำนาจในยุโรปซึ่งมีอังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดาเป็นผู้นำ ต้องออกมาแสวงหาอาณานิคมในทวีปแอฟริกาและเอเชียนั้น เป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้าไปทั่วโลก และการเพิ่มขึ้นของจำนวนพลเมือง จึงมีความจำเป็นต้องมีการออกแสวงหาอาณานิคมเพื่อเป็นตลาดการค้า ตลาดลงทุน แหล่งวัตถุดิบ จัดตั้งฐานทัพและเพื่อระบายพลเมือง

100.     การรวมตัวกันเป็นพันธมิตรในยุโรปตั้งแต่ ค.ศ. 1907 มาจากความหวาดกลัวอะไร

1.   กลัวอังกฤษ

2.   กลัวเยอรมนี

3.   กลัวฝรั่งเศส

4.   กลัวรัสเชีย

ตอบ 2       หน้า 530 – 531 (คำบรรยาย) การรวมตัวกันเป็นพันธมิตรในยุโรประหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย โดยมีการทำสัญญาเป็นกลุ่มไตรพันธมิตร (Triple Entente) ตั้งแต่ ค.ศ. 1907 นั้นมีสาเหตุมาจากความหวาดกลัวว่าเยอรมนีจะคิดสร้างจักรวรรดิขึ้นในยุโรป จึงมีการรวมตัวกันขึ้นเพื่อถ่วงดุลกับกลุ่มไตรพันธไมตรี (Triple AIIiance) อันประกอบด้วย เยอรมนี อิตาลี ออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งรวมตัวเป็นพันธมิตรมาตั้งแต่ ค.ศ. 1882 ส่งผลให้บรรดามหาอำนาจในยุโรปแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย นับตั้งแต่ค.ศ. 1907 เป็นต้นมา

101.     ระบบพันธมิตรแบบบิสมาร์คเป็นระบบพันธมิตรแบบใด ในภาวะใด

1.   แบบตั้งรับในยามศึก                                                        

2.   แบบรบรุกในยามสงบ

3.   แบบป้องปรามในยามสงบ                                             

4.   แบบตั้งรับในยามสงบ

             ตอบ 4       หน้า 529 – 530562, (คำบรรยาย) บิสมาร์จัดตั้งระบบพันธมิตรขึ้นในปี ค.ศ. 1882 โดยมีจุดมุ่งหมายเพี่อป้องกันความขัดแย้งระหว่างเยอรมนีกับฝรั่งเศสในเรื่องดินแดนอัลซัสลอเรนน์เป็นหลักทำให้บิสมาร์คต้องพยายามปิดล้อมฝรั่งเศสให้อยู่โดดเดี่ยวโดยการจัดตั้งระบบพันธมิตรที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อมิให้พันธมิตรฝ่ายฝรั่งเศสซึ่งอาจรวมตัวกันได้ในวันข้างหน้าสามารถทำการโจมตีได้ทั้งนี้ระบบพันธมิตรแบบบิสมาร์คเป็นระบบพันธมิตรแบบตั้งรับในยามสงบซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เกิดการทูตแบบใหม่ขึ้น

102.     มีดินแดนใดในยุโรปตั้งแต่ ค.ศ. 1871 – 1914 ที่อาจกลายเป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศและนำไปสู่สงครามได้             

1.   สุเดเตนและดานซิก

2.   โปแลนด์และกรีซ

3.   อัลซัส-ลอเรนน์ และบอลข่าน

4.   ถูกข้อ 1 และ 3

ตอบ 3       หน้า 518 – 519531 – 533132 – 133 (H), (คำบรรยาย) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1817 – 1914 ยุโรปมีดินแดนที่เป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศและเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ 1. ดินแดนอัลซัส-ลอเรนน์ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี ผลคือเยอรมนีได้ครอบครองดินแดนนี้ ทำให้ฝรั่งเศสต้องการแก้แค้นเยอรมนี และต้องการดินแดนแคว้นอัลซัส-ลอเรนน์คืนมา              2. คาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจตะวันตกในยุโรปที่ต่างมุ่งแสวงหาประโยชน์อย่างเต็มที่ จนบานปลายกลายเป็นชนวนให้สงคราม

103.     สงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้นเมื่อมีความขัดแย้งใดที่หาข้อยุติมิได้

1.   ความขัดแย้งระหว่างเยอรมนีกับฝรั่งเศส

2.   ความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับเซอร์เบีย

3.   ความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับอิตาลี

4.   ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับออสเตรีย

ตอบ 2       หน้า 534 – 535562133 (H), (คำบรรยาย) สงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้นเมื่อมีความขัดแย้ง ระหว่างออสเตรีย – ฮังการี กับเซอร์เบียใน ค.ศ. 1914 โดยมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่นักศึกษาชาวเซิร์บลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุก ฟรานชิส เฟอร์ดินานด์ มกุฎราชกุมารออสเตรียทำให้ออสเตรียยื่นคำขาดให้เซอร์เบียปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของตนภายใน 24 ชั่วโมง แต่เชอร์เบียไม่ยอมจึงทำให้บรรดามหาอำนาจที่รวมตัวกันเป็นระบบพันธมิตรของทั้ง 2 ฝ่ายใช้กำลังทำสงครามกันจนก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในที่สุด

104.     ภาวะใดหนุนนำให้ผู้คนในเยอรมนีและอิตาลีนิยมลัทธิฟาสซิสต์

1.   พลังอำนาจทหาร

2.   พลังอำนาจเศรษฐกิจ

3.   ภาวะเศรษฐกิจทรุด      

4.   ภาวะจลาจลภายใน

ตอบ 3       หน้า 544, (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ระบอบฟาสซิสต์ (Facism) เป็นที่นิยมทั้งในเยอรมนีและอิตาลีเนื่องจาก 1. ระบอบประชาธิปไตยแก้ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไม่ได้

2. เกิดความยากไร้และคับแค้นใจเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำระหว่างปี ค.ศ. 1929 – 1934

3. กลัวลัทธิคอมมิวนิสต์

105.     ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 บรรดามหาอำนาจผู้ชนะร่วมกันจัดตั้งองค์การสันนิบาตแห่งชาติขึ้นตามหลักการอะไร   

1.   ประชาธิปไตย

2.   การอยู่ร่วมกันโดยสันติ

3.   ความมั่นคงร่วมกัน       

4.   ธรรมย่อมเหนืออธรรม

             ตอบ 3       หน้า 540 – 541135 (H), (คำบรรยาย) องค์การสันนิบาตชาติ (The League of Nations) จัดตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อปี ค.ศ. 1920 ซึ่งเป็นองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสันติภาพและความมั่นคงร่วมกัน โดยมุ่งขจัดความขัดแย้ง เป็นตุลาการระหว่างประเทศดำเนินการลดอาวุธและขจัดทูตลับ ซึ่งผลงานที่สำคัญของสันนิบาตชาติคือ ฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจได้สำเร็จพอสมควร แต่ไม่สามารถรักษาสันติภาพและระเบียบแบบแผนไว้ได้ ซึ้งส่งผลให้สันนิบาตชาติอ่อนแอเนื่องจากไม่มีกองทัพเป็นของตนเอง

106.     เหตุใดอังกฤษและฝรั่งเศสจึงมีนโยบายผ่อนปรนต่อเยอรมนีใน ค.ศ. 1939

1.   เพราะกลัวเยอรมนีไม่พอใจ

2.   เพราะไม่พร้อมที่จะรบกับเยอรมนี

3.   เพราะเยอรมนีมีรัสเซียเป็นพันธมิตร

4.   เพราะเยอรมนีปฏิบัติตามสนธิสัญญาแวร์ชายส์

 ตอบ 2       หน้า 545 – 546549 – 550 (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลง อังกฤษ และฝรั่งเศสได้ใช้นโยบายผ่อนปรน (Appeasement Policy) กับเยอรมนีมาโดยตลอดจนถึง ค.ศ. 1939 ทั้งนี้เพราะยังไม่ต้องการสงครามและไม่พร้อมที่จะรบกับเยอรมนี แต่เมื่อกองทัพเยอรมนีบุกโปแลนด์และไม่ยอมถอนทหารออกจากโปแลนด์ทำให้อังกฤษกับฝรั่งเศสต้องรับประกันความปลอดภัยของโปแลนด์และประกาศทำสงครามกับเยอรมนี ซึ่งถือเป็นการยุตินโยบายผ่อนปรนและก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด

107.     อิตาลีและเยอรมนีต่างรวมประเทศได้โดยใช้วิธีใด

1.   ยุทธวิธี

2.   สันติวิธีทางการทูต

3.   ธรรมยุทธ์

4.   ถูกข้อ 1 และ 2

ตอบ 4       หน้า 512 – 519125 – 129 (H), (คำบรรยาย) ประเทศอิตาลีและเยอรมนีรวมชาติได้สำเร็จในระหว่างปี ค.ศ. 1870 – 1871 โดยใช้วิธีดังนี้คือ 1. ยุทธวิธี คือ อิตาลีใช้วิธีทำสงครามโดยการปราบออสเตรียส่วนเยอรมนีใช้ นโยบายเลือดและเหล็ก” ทำสงครามถึง 3 ครั้งคือ สงครามกับเดนมาร์กเรื่องดินแดนชเลสวิก-โฮลสไตน์สงครามกับออสเตรีย และสงครามกับฝรั่งเศส 2. สันติวิธีทางการทูต คือ อิตาลีผูกมิตรกับมหาอำนาจคือฝรั่งเศสให้เข้ามาช่วย ส่วนเยอรมนีใช้วิธีเจรจารักษาไมตรีกับนานาประเทศ

108.     ในการปฏิวัติในรัสเซียเมื่อ ค.ศ. 1917 ประชาชนเรียกร้องต้องการอะไร

1.   อิสรเสรี เสมอภาค และภราดรภาพ

2.   ระบอบประชาธิปไตย

3.   สันติภาพ ขนมปัง และที่ดิน

4.   สงบศึกและล้มล้างซาร์

ตอบ 3       หน้า 537136 (H), (คำบรรยาย) การปฏิวัติครั้งใหญ่ในรัสเซียเมื่อปี ค.ศ. 1917 เป็นการปฏิวัติที่ล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก 1. การปกครองล้าหลังตามไม่ทันสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง 2. เป็นผลกระทบมาจากการที่รัสเซียเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประชาชนจึงต้องการสันติภาพ 3. แรงกดดันจากความยากไร้ของประชาชน คือประชาชนต้องการขนมปังและที่ดินทำมาหากิน ฯลฯ

109.     ระบอบฟาสซิสต์และระบอบคอมมิวนิสต์มีลักษณะใดที่เหมือนกันในการปกครอง

1.   การกระจายอำนาจ

2.   การใช้อำนาจโดยประธานพรรค

 3.   การใช้อำนาจโดยพรรค 1 พรรค

4.   การมีสำนักการเมือง (Politburo) เป็นหลัก

ตอบ 3       หน้า 541 – 543137 – 138 (H), (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดขบวนการชาตินิยม ที่เรียกว่า ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จขึ้น ซึ่งเป็นการปกครองที่ผู้นำเดี่ยวมีอิทธิพลครอบงำหรืออาจอยู่ในรูปองค์กรผู้นำพรรคการเมือง 1 พรรค ใช้อำนาจเด็ดขาดแต่พรรคเดียวแบ่งออกเป็น 2 แบบ ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกัน ได้แก่ 1. ระบอบคอมมิวนิสต์ (เผด็จการซ้าย) เป็นขบวนการต่อต้านลัทธิทุนนิยมประชาธิปไตย 2. ระบอบฟาสซิสต์ (เผด็จการขวา) เกิดขึ้นในอิตาลีและขยายต่อมายังเยอรมนี เรียกว่า ลัทธินาซี เป็นขบวนการชาตินิยมที่ต่อต้านการขยายตัวของระบอบคอมมิวนิสต์และโลกเสรีประชาธิปไตย

110.     การทูตยุคใหม่ยึดถือหลักการใดในการมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุโรป

1.   การเป็นพันธมิตร

2.   การมีผู้นำกลุ่มประเทศ

3.   การจัดตั้งสันนิบาต      

4.   การถ่วงดุลอำนาจ

ตอบ 4       (คำบรรยาย) หลักความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศในยุโรปตั้งแต่ยุคใหม่เป็นต้นมานั้นได้กำหนดว่าทุกประเทศต้องเคารพในหลักการถ่วงดุลอำนาจไม่ให้ประเทศใดมีอำนาจมากจนเกินไปโดยเชื่อว่าสันติภาพและความมั่นคงจะคงอยู่ได้นั้นขึ้นอยู่กับการรักษาสมดุจหรือดุลยภาพแห่งอำนาจถ้ามหาอำนาจใดล่วงละเมิดหลักการถ่วงดุลอำนาจโดยการขยายอาณาเขตออกไปเพื่อตั้งตนเป็นใหญ่บรรดามหาอำนาจที่เหลือก็จะรวมตัวกันจัดตั้งเป็นพันธมิตรเพื่อเข้าไปล้อมปราบ หรือเรียกร้องค่าเสียหายชดเชย หรือใช้กำลังยับยั้งโดยการรวมกลุ่มรบเพื่อสั่งสอน แต่จะไม่เข้าไปทำลายรัฐ

111.     ข้อใดคือมาตรการลงโทษรัฐที่ถ่วงละเมิดหลักการถ่วงดุลอำนาจในยุคใหม่      

1.   การตั้งศาลพิพากษา                                                         

2.   การใช้กำลังยับยั้ง            

3.   การเจรจาต่อรองผลประโยชน์                                       

4.   การอัปเปหิจากเวทีโลก

ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 110. ประกอบ

112.     พฤติกรรมใดแสดงว่าชาวยุโรปเป็นผู้เจริญ รู้จักแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีใน ค.ศ. 648

1.   การประชุมที่เวียนนา                                                       

2.   การประชุมที่เบอร์ลิน

3.   การประชุมที่เวสต์ฟาเลีย                                                

4.   การประชุมที่แวร์ชายส์

ตอบ 3       หน้า 390 – 391408101 (H), (คำบรรยาย) สนธิสัญญาที่เวสต์ฟาเลีย (Westphalia) ในปี ค.ศ. 1648 นับเป็นการประชุมร่วมกันโดยสันติวิธีระหว่างมหาอำนาจชาติต่าง ๆ เป็นครั้งแรกในยุโรป โดยเป็นสนธิสัญญาสันติภาพที่ยุติสงคราม 30 ปีซึ่งเป็นสงครามศาสนาครั้งสุดท้ายของยุโรปที่เกิดขึ้นในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (เยอรมนี) ในระหว่างปี ค.ศ. 1618 – 1648 ส่งผลให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถูกแบ่งแยกเป็นรัฐอิสระถึง 300 รัฐ และดินแดนเยอรมนีได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ทำให้การรวมเยอรมนีช้าไปเป็นเวลา 200 ปี

113.     ใน ค.ศ. 1648 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถูกบงการให้แบ่งแยกเป็นรัฐอิสระ โดยสนธิสัญญาใด

1.   แวร์ซายส์

2.   เวสต์ฟาเลีย

3.   เบอร์ลิน

4.   มิวนิค

ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 112. ประกอบ

114. เหตุใดบรรดามหาอำนาจในยุโรปจึงรวมตัวเป็นพันธมิตรถึง 3 ครั้งเพื่อปราบฝรั่งเศส

1.   เพราะฝรั่งเศสต้องการเป็นเจ้าโลก                          

2.   เพราะฝรั่งเศสเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายของตนในยุโรป

3.   เพราะฝรั่งเศสคิดสร้างจักรวรรดิในยุโรป 

4.   เพราะฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางของลัทธิสังคมนิยม

 ตอบ 3       หน้า 464466468 – 469 (คำบรรยาย) ในยุคใหม่จนถึงปัจจุบันนั้น ประเทศมหาอำนาจที่พยายามตั้งตนเป็นใหญ่เพราะต้องการสร้างจักรวรรดิในยุโรป จนถูกชาติมหาอำนาจอื่น ๆ รวมตัวเป็นพันธมิตรเพื่อล้อมปราบอยู่หลายครั่ง ได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะในยุคนโปเลียนที่ยุโรปเกือบทั้งหมดยกเว้นอังกฤษต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส ทำให้มหาอำนาจในยุโรปต้องรวมตัวกันเป็นพันธมิตรถึง 3 ครั้ง เพื่อล้อมปราบฝรั่งเศส นอกจากนี้ก็ยังมีประเทศสเปนในสมัยสงคราม 30 ปี และประเทศเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2

115.     บรรดามหาอำนาจภายหลัง ค.ศ. 1815 ได้พยายามต้านทานคลื่นปฏิวัติด้วยวิธีการใด

             1.   ปฏิบัติการไล่ล่าแกนนำ                   2.   ระบบข่าวกรองเป็นเครือข่ายระหว่างประเทศ

             3.   สร้างพันธมิตรกับคริสตจักร                           4.   ความร่วมมือทางการทูต

             ตอบ 4       หน้า 477 – 479, (คำบรรยาย) ในระหว่าง ค.ศ. 1815 – 1848 ได้เกิดคลื่นปฏิวัติเสรีนิยมขึ้นในยุโรปโดยมีศูนย์กลางของการปฏิวัติอยู่ที่กองทัพ มหาวิทยาลัย และสมาคมลับ ทำให้บรรดามหาอำนาจในยุโรปต้องใช้ความร่วมมือทางการทูตระหว่างประเทศ โดยการจัดตั้งสมาคมยุโรป (Concert of Europe) และใช้วิธีการแทรกแซงทางทหาร เพื่อต้านทานและบดขยี้คลื่นปฏิวัติในยุโรปไม่ให้เกิดขึ้นโดยมีผู้นำของการทูตแบบนี้ คือ เจ้าชายเมตเตอร์นิกแห่งออสเตรียจึงเรียกเหตุการณ์ในยุคนี้ว่า  ยุคเมตเตอร์นิก หรือยุคแห่งการต่อต้านระบอบเสรีนิยม

116.     ข้อใดคือสาเหตุที่ทำให้เยอรมนีถูกแบ่งประเทศใน ค.ศ. 1945                     

             1.   ผู้ชนะบงการให้แบ่ง                                                       2.   การยึดครองโดยแบ่งเขต                             

             3.   สนธิสัญญาแวร์ซายส์                                                      4.   รัสเซียบงการ

             ตอบ 2       หน้า 556, (คำบรรยาย) ในปี ค.ศ. 1945 เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็น 4 เขต ภายใต้การยึดครองโดยแบ่งเขต ซึ่งเบอร์ลินทั้งหมดจะอยู่ในเขตยึดครองของรัสเซีย แต่ก็ให้อยู่ภายใต้การปกครองของ 4 ชาติฝ่ายสัมพันธมิตร คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และโซเวียตรัสเซีย ทำให้เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ คือ 1. เยอรมนีตะวันออก ภายใต้การยึดครองของสหภาพโซเวียต มีชื่อเรียกว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี”  2. เยอรมนีตะวันตก ภายใต้การดูแลของอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา มีชื่อเรียกว่า สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

117.     ประเทศใดที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองแล้วได้รับประโยชน์เป็นการขยายดินแดนภายใต้อิทธิพลของตนมากที่สุดใน ค.ศ. 1948    

             1.   สหรัฐอเมริกา          2.   อังกฤษ              3.   ฝรั่งเศส             4.   รัสเซีย

             ตอบ 4       (คำบรรยาย) ตามข้อตกลงยัลต้า (Yalta) และปอตสดัม (Potsdom) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ส่งผลให้ประเทศรัสเซียสามารถแพร่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ไปสู่ยุโรปตะวันออกตั้งแต่ทะเลบอลติก ไปจนถึงทะเลดำได้สำเร็จ ทำให้รัสเซียสามารถขยายดินแดนภายใต้อิทธิพลของตนได้มากที่สุดใน ค.ศ. 1948 และรวมตัวกันเป็นสหภาพโซเวียต

118.     ลักษณะพิเศษของสงครามเย็นคืออะไร  

             1.   การต่อสู้ด้วยกำลังอย่างถึงที่สุด                                                      2.   เป็นสงครามในแบบเบ็ดเสร็จ

             3.   การต่อสู้ทุกรูปแบบยกเว้นสงครามโดยตรง                                4.   สงครามจรยุทธ์โดยประชาชน

             ตอบ 3       หน้า 559139 (H) ลักษณะสำคัญของสงครามเย็น (ค.ศ. 1945 – 1991) คือ 1. เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งทางด้านพลังลัทธิอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ระหว่างโลก 2 ฝ่าย คือ โลกเสรีประชาธิปไตยซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำกับฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีโซเวียตรัสเชียเป็นผู้นำ 2. มีการต่อสู้ทุกรูปแบบยกเว้นการทำสงครามแบบเบ็ดเสร็จที่มีการเผชิญหน้ากันโดยตรงแต่จะใช้วิธีการทำสงครามจิตวิทยาหรือสงครามตัวแทน (Proxy War) เช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ฯลฯ 3. แข่งกันหาพันธมิตรโดยใช้วิธีทางการทูตและการโฆษณาชวนเชื่อ 4. มีการแข่งขันกันสะสมอาวุธ และแข่งขันวิทยาการทางด้านอวกาศ

119.     เมื่อ ค.ศ. 1945 การแบ่งโลกเป็น 2 ฝ่ายคือ โลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์ เป็นการแบ่งตามเกณฑ์ใด

             1.   พลังอำนาจทางทหาร                                                      2.   พลังอำนาจทางเศรษฐกิจ

             3.   พลังลัทธิอุดมการณ์                                                          4.   พลังอำนาจทางการเมืองโลก

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 118. ประกอบ

120.     โลกเสรีตอบโต้การแพร่ขยายอำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีการใด

             1.   ตั้งองค์การสหประชาชาติ                                              2.   ตั้งองค์การนาโต้

             3.   ตั้งองค์การโคมินเทอร์น                                                  4.   ตั้งระบบสัญญาโคเมคอน

             ตอบ 2       หน้า 559 – 560 (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 545 – 546) ในยุคสงครามเย็นฝ่ายโลกเสรีและโลก   คอมมิวนิสต์ต่างก็หามาตรการเพื่อนำมาใช้ตอบโต้กัน กล่าวคือ ฝ่ายโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ประกาศหลักการทรูแมน (Truman Doctrie) และแผนการมาร์แซล (The Marshall Plan) รวมทั้งจัดตั้งองค์การนาโต้ (NATO) เพื่อความร่วมมือทางทหารและปิดล้อมการแพร่ขยายอำนาจของคอมมิวนิสต์ ส่วนฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียตก็จัดตั้งองค์การโคมินเทอร์(Comintern) และแผนโมโลตอฟ รวมทั้งจัดตั้งกลุ่มประเทศสนธิสัญญาวอร์ซอ (The Warsaw Pact) เพื่อตอบโต้ปฏิบัติการของตะวันตกโดยเฉพาะองค์การนาโต้   

Advertisement