แนวข้อสอบชุดพิเศษ 2 สำหรับเตรียมสอบภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวบวิชา ENG 2002 การอ่านตีความภาษาอังกฤษ

Advertisement

Part I : Seen Passages (เนื้อเรื่องในตำรา)

A : Directions : Read the following passage. Then blacken 1 for a true statement and blacken 2 for a false statement.

คำสั่ง  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วระบาย 1 หากเป็นข้อความที่ถูกต้อง และระบาย 2 หากเป็นข้อความที่ผิด

1.      Each word in the passage is important, so you have to read every single one of them.

ถาม     แต่ละคำในเนื้อเรื่องมีความสำคัญ ดังนั้นคุณต้องอ่านทุก ๆ คำ

ตอบ 2  (ผิด) ในการอ่านเพื่อความเข้าใจหรือตีความ เราต้องมุ่งไปที่เนื้อหาของเรืองเท่านั้น

โดยไม่ต้องสนใจคำศัพท์ทุก ๆ ตัว เพราะบางครั้งรายละเอียดที่มากเกินไปอาจกลับทำให้ เราสับสนและไม่สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้เลย

2.      Being able to distinguish a main idea from details of the reading passage helps you better understand the author’s purpose.

ถาม     การที่คุณสามารถแยกแยะใจความสำคัญออกจากรายละเอียดของเนื้อเรื่องที่อ่าน จะทำให้คุณเข้าใจวัตถุประสงค์ของผู้เขียนได้ดีขึ้น

ตอบ 1  (ถูก) การที่เราทราบใจความสำคัญจะทำให้เรารู้ว่าผู้เขียนมีจุดประสงค์อะไรในการเขียน

3.      You usually scan the passage when you want to get the general meaning.

ถาม     โดยปกติคุณจะอ่านเนื้อเรื่องโดยวิธีสแกนนิงเมื่อคุณต้องการหาความหมายโดยทั่ว ๆ ไป

ตอบ 2  (ผิด) การอ่านแบบสแกนนิงเป็นเทคนิคการอ่านเร็วเพื่อใช้ในการหาข้อมูลบางอย่างเท่านั้น เช่น ตัวเลข ชื่อต่าง ๆ เป็นต้น

4.      When reading, you can guess the meaning of the unknown word from its structure and context.

ถาม     เมื่อคุณอ่าน คุณสามารถเดาความหมายของคำที่คุณไม่รู้จากโครงสร้างของคำและบริบทใกล้เคียง

ตอบ 1 (ถูก) ในการอ่านเราสามารถเดาความหมายของคำศัพท์ใหม่ ๆ ได้โดยการพิจารณาจากโครงสร้างของคำ (Roots, Prefixes, Suffixes) หรือเดาจากบริบทข้างเคียง (Contextual Clues)

5.      The words such as which, who, that, he, and she are examples of reference that makes the ideas in the passage coherent.

ถาม     คำต่าง ๆ อย่างเช่น which, who, that, he และ she เป็นตัวอย่างของคำอ้างอิงที่ทำให้ความคิดในเนื้อเรื่องปะติดปะต่อกัน

ตอบ 1 (ถูก) ในภาษาอังกฤษมีการใช้ระบบคำอ้างอิง คือ การที่ผู้เขียนเชื่อมโยงความคิดของเนื้อเรื่องให้ปะติดปะต่อกัน โดยการใช้คำหรือวลีแทนคำหรือข้อความที่ได้กล่าวไปโดยไม่ต้องกล่าวคำ หรือข้อความนั้น ๆ ซ้ำอีก เช่น which, who, that, he, she เป็นต้น

6.         You can skim the passage when you are looking for the implied main idea.

ถาม     คุณสามารถอ่านเนื้อเรื่องโดยวิธีสกิมมิง เมื่อคุณต้องการหาใจความสำคัญที่แสดงไว้เป็นนัย

ตอบ 2  (ผิด) ใจความสำคัญโดยนัย (Implied Main Idea) คือ ใจความสำคัญที่ผู้เขียนไม่ได้ระบุไว้ ในย่อหน้าอย่างเด่นชัด แต่จะให้รายละเอียดแสดงไว้เป็นนัย ดังนั้นผู้อ่านต้องอ่านย่อหน้านั้น อย่างละเอียดแล้วสรุปใจความสำคัญของเรื่องด้วยตนเอง

7.         The phrases is caused, contributes to, and results in, are signal words found in the compare/contrast organizational pattern.

ถาม วลี is caused (มีสาเหตุมาจาก) contributes to (ก่อให้เกิด) และ results in (เป็นผลให้ เกิด) เป็นคำชี้แนะที่พบได้ในการเรียบเรียงแบบเปรียบเทียบ/เปรียบต่าง

ตอบ 2  (ผิด) การเขียนหรือการเรียบเรียงใจความแบบเปรียบเทียบ/เปรียบต่าง เป็นการเขียน เพื่อแสดงความเหมือนหรือความแตกต่างของหัวเรื่องที่พูดถึง โดยมีคำชี้แนะที่พบได้ทั่วไป คือ similar to, both, like, also เป็นต้น ส่วนวลี is caused, contributes to และ results in จะถูกพบในการเขียนแบบแสดงเหตุและผล

8.         The topic sentence is a clear statement of the main idea of the paragraph.

ถาม     ประโยคใจความสำคัญคือใจความสำคัญที่เขียนไว้ชัดเจนในย่อหน้า

ตอบ 1  (ถูก) ประโยคใจความสำคัญ (Topic Sentence) คือ ประโยคที่มีใจความสำคัญของย่อหน้านั้น ปรากฏอยู่ชัดเจน ซึ่งอาจจะอยู่ตอนต้นย่อหน้า กลางย่อหน้า ท้ายย่อหน้า หรือทั้งต้นและ ท้ายย่อหน้าก็ได้

B : Directions : Read the following passages. Then choose the best answer for each question.

คำสั่ง จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

1 This disconnection from our ecosystem is reinforced for many people by their belief, learned early in life, that “man” is the supreme life form and that everything else was put on earth for our use. 2 This fits well with another belief that humans are at the top of the food chain, that we have no natural enemies. 3 Once there were predators that humans feared. 4 They were the big carnivores—tigers, lions, and bears. 5 We overcame them with our brains which enabled US to invent weapons. Now, we are supreme. 7 Or are we ? 8 What about the tiniest creatures, the viruses and bacteria that kill US every day ?  9 We are not really supreme. 10 We are part of the system of life on this planet and we must live within the constraints of that system if we are to survive.

1 การตัดความเชื่อมโยงกับระบบบิเวคของเราเช่นนี้สำหรับหลายคนแล้วได้รับแรงหนุนจาก ความเชื่อของเขาเอง ซึ่งได้เรียนรู้มาตั้งแต่วัยเด็กว่า มนุษย์” คือสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีขึ้นบนโลกนี้ก็มีไว้เพื่อประโยชน์ของพวกเรา 2 ความเชื่อนี้ช่างสอดคล้องกับความเชื่ออีกอย่างที่ว่ามนุษย์ เป็นผู้ที่อยู่ตำแหน่งบนสุดของห่วงโซ่อาหาร ที่เชื่อว่าเราไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ 3 ครั้งหนึ่งเคยมีสัตว์นักล่า ที่มนุษย์หวาดกลัว 4พวกมันคือสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ เช่น เสือ สิงโต และหมี (5)แต่เราก็สามารถเอาชนะพวกมันได้ด้วยสมองของเราที่ทำให้เรารู้จักประดิษฐ์อาวุธ 6 ทุกวันนี้เรายิ่งใหญ่ที่สุด    7 หรือจะไม่ใช่ 8 แล้วสัตว์ที่มีขนาดเล็กที่สุดอย่างไวรัสและแบคทีเรียที่คร่าชีวิตพวกเราอยู่ทุกวันนี้ล่ะ            9ที่จริงเราไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุด 10 เราเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของระบบชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้ และเราต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ ของระบบนี้ถ้าเราต้องการอยู่รอด

9.      What is the right belief according to the author ?

(1)    Man can be destroyed.   (2) Man has no natural enemies.

(3) Man is the supreme form of life.        (4) Man is at the top of the food chain.

ถาม     แนวคิดที่ถูกต้องตามความคิดของผู้เขียนคืออะไร

1.      มนุษย์สามารถถูกทำลายได้   

2.     มนุษย์ไม่มีศัตรูทางธรรมซาติ

3.      มนุษย์เป็นรูปแบบของชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

4.      มนุษย์เป็นผู้ที่อยู่ตำแหน่งบนสุดของห่วงโซ่อาหาร

ตอบ 1  จากประโยคที่ 8, 9 และ 10

10.    “This” refers to______

(1)    the fact that man is at the top of the food chain

(2)    the disconnection between man and his ecosystem

(3)    the belief that man is superior to every thing on earth

(4)    the belief that everything on earth in under constraints

ถาม คำว่า “This” อ้างอิงถึง          

1.      ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เป็นผู้ที่อยู่ตำแหน่งบนสุดของห่วงโซ่อาหาร

2.      การตัดความเชื่อมโยงกันระหว่างมนุษย์และระบบนิเวศของพวกเขา

3.      ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

4.      ความเชื่อที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อยู่ภายใต้ข้อจำกัด

ตอบ 3  ตัวอ้างอิง “This” เป็นคำสรรพนามที่ใช้อ้างอิงถึงคำหรือข้อความที่กล่าวไปแล้ว ในที่นี้ This = the belief that man is the supreme form

11.    Because man is_______big animals, he invented weapons.

(1) overcome by (2) superior to       (3) afraid of      (4) eaten by

ถาม เพราะมนุษย์_____สัตว์ขนาดใหญ่ พวกเขาจึงคิดค้นประดิษฐ์อาวุธขึ้นมา

1. ถูกเอาชนะโดย      2. อยู่เหนือ     3. กลัว           4. ถูกกินโดย

ตอบ 3  จากประโยคที่ 3 ที่กล่าวว่าครั้งหนึ่งเคยมีสัตว์นักล่าที่มนุษย์หวาดกลัว (fear) ซึ่งคำว่า fear ในที่นี้มีความหมายเช่นเดียวกับ be afraid of

12.    After the invention of weapons, man ______.

(1) became the most intelligent creature       (2) is the conqueror of the world

(3) still has natural enemies    (4) has no natural enemies

ถาม     หลังจากที่มีการคิดค้นประดิษฐ์อาวุธขึ้นมา มนุษย์ก็______        

1. กลายเป็นสัตว์โลกที่ฉลาดที่สุด     2. เป็นผู้ครอบครองโลก

3. ยังคงมีศัตรูทางธรรมชาติ   4. ไม่มีศัตรูทางธรรมชาติ

ตอบ 3  จากประโยคที่ 8 นั่นคือ ไวรัส และแบคทีเรีย

13.       The question “What about the tiniest creatures, the viruses and bacteria that kill us every day ?” shows that the author thinks that man is_______.

(1) very talented (2) not really supreme (3) weak      (4) fearful

ถาม     คำถามที่ว่า แล้วสัตว์ที่มีขนาดเล็กที่สุดอย่างไวรัสและแบคทีเรียที่คร่าชีวิตพวกเราอยู่ทุกวันนี้ล่ะแสดงให้เห็นว่าผู้เขียนคิดว่า มนุษย์______      

1. มีพรสวรรค์มาก       2. ไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริง

3. อ่อนแอ        4. เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ตอบ 2  จากประโยคที่ 8 และ 9

14.       As used here, “constraints” is similar in meaning to____.

(1) considerations     (2) differences  (3) restrictions  (4) dangers

ถาม    คำว่า “constraints” ที่ใช้ในเนื้อเรื่องนี้มีความหมายเหมือนกับคำว่า______

1. การพิจารณา 2. ความแตกต่าง       3. การจำกัด    4. อันตราย

ตอบ 2  constraints ในที่นี้เป็นคำนามนับได้ แปลว่า การบีบบังคันการจำกัด ซึ่งมีความหมาย เหมือนกับคำว่า restrictions

15.       From the description here, it seems that man is____.

(1) arrogant       (2) ignorant       (3) stupid  (4) innocent

ถาม     จากการอธิบายในเนื้อเรื่องนี้ ดูเหมือนว่ามนุษย์_______ 

1. หยิ่งยโสจองหอง  2. ไม่รู้เรื่อง       3. โง่เง่า           4. ไร้เดียงสา

ตอบ 1  วิเคราะห์จากประโยคที่ 12 และ 3

Passage 2

Well, we set out to make a school in which we should allow children freedom to be themselves. In order to do this, we had to renounce all discipline, all direction, all suggestion, all moral training, all religious instruction. We have been called brave, but it did not require courage. All it required was what we had—a complete belief in the child as a good, not an evil, being. For almost forty years, this belief in the goodness of the child has never wavered; it rather has become a final faith.

ดังนั้นเราตัดสินใจที่จะสร้างโรงเรียนขึ้นมาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ที่เราจะปล่อยให้เด็ก ๆ มีเสรีภาพ ในการเป็นตัวของตัวเอง ในการทำเช่นนี้เราจะต้องละทิ้งระเบียบวินัย คำสั่ง คำแนะนำ การอบรมศีลธรรม และคำสอนทางศาสนาทั้งหมด มีคนบอกเราว่าเรากล้า แต่มันไม่ต้องอาศัยความกล้าเลย มันแค่อาศัยสิ่งที่เรามี นั่นคือความเชื่ออย่างยิ่งในตัวเด็กว่าเป็นคนดี ไม่ใช่คนเลว เป็นเวลาเกือบ 40 ปีที่ความเชื่อในความดีของเด็ก ที่ว่านี้ไม่เคยสั่นคลอนเลย มันดูจะกลายเป็นความศรัทธาที่ฝังลึกไปแล้ว

16.       The word “which” in line 1 refers to______.

(1) a school        (2) freedom       (3) children        (4) instruction

ถาม     คำว่า “which” ในบรรทัดที่ 1 อ้างอิงถึง   

1.โรงเรียน 2.อิสรภาพ 3.เด็กๆ            4.คำสอน

ตอบ 1  ตัวอ้างอิง “which” เป็นคำสรรพนามที่ใช้อ้างอิงถึงคำหรือข้อความที่กล่าวไปแล้ว ในทีนี้ which = a school

17.    The writer’s goal is to______.

(1) set up a famous school (2) allow children freedom

(3) be called brave              (4) instruct a religion

ถาม เป้าหมายของผู้เขียนคือการ________

1.   ตั้งโรงเรียนที่มีขื่อเสียงแห่งหนึ่ง 2. ปล่อยให้เด็ก ๆ มีเสรีภาพ 3. ได้รับการเรียกว่ากล้าหาญ 4. สอนศาสนา

ตอบ 2  เนื้อเรื่องนี้ ผู้เขียนต้องการที่จะปล่อยให้เด็ก ๆ มีเสรีภาพในการเป็นตัวของตัวเอง เพราะเชื่ออย่างยิ่งว่าเด็กทุกคนเป็นคนดี ไมใช่คนเลว

18.    According to the writer, you can five children freedom if______

(1)    you have courage

(2)    you want to set up a school

(3)    you believe that ล child is a good being

(4)    you renounce all discipline, all direction, all religious training

ถาม ตามความคิดของผู้เขียน คุณสามารถให้เสรีภาพแก่เด็กถ้า_______

1.      คุณมีความกล้าหาญ

2.      คุณต้องการที่จะตั้งโรงเรียน

3.      คุณเชื่อว่าเด็กเป็นคนดี

4.      คุณละทิ้งระเบียบวินัย คำสั่ง การอบรมศาสนาทั้งหมด

ตอบ 3  ดังที่กล่าวไว้ในประโยคที่ 4 ส่วนข้อ 4 ถือเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการ

19.    The word ‘‘wavered” in line 6 is similar in meaning to____

(1) warranted (2) appeared (3) existed (4) weakened

ถาม คำว่า “wavered” ในบรรทัดที่ 6 มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า

1.   รับประกัน 2. ปรากฏ 3. มีอยู่ 4. อ่อนลง

ตอบ 4  “wavered” เป็นอกรรมกริยา (vi.) แปลว่า ลังเล โอนเอน ซึ่งในท่นี้มีความหมาย ใกล้เคียงกับคำว่า weakened

20.    The writer had to renounce all discipline, all direction, all moral training, all religious instruction to______

(1) set up a school (2) give children freedom

(3) to keep his belief (4) believe in children

ถาม ผู้เขียนต้องละทิ้งระเบียบวินัย คำสั่ง คำแนะนำ การอบรมศีลธรรม และคำสอนทางศาสนาทั้งหมด เพื่อที่จะ______

1. ตั้งโรงเรียนแห่งหนึ่ง 2. ให้อิสรภาพแก่เด็ก 3. ทำตามความเชื่อของเขา 4. เชื่อในตัวเด็ก

ตอบ 2  จากประโยคที่ 2 this = allowing children freedom

Passage 3

1 A third argument for conserving tropical forests concerns their effect on worldwide climate patterns. 2 All plants give off water vapor that becomes part of the atmosphere. 3 The dense plant life in a tropical forest transpires large quantities of water vapor. 4 This vapor condenses and falls as rain. 5 If the tropical forests disappear, there will be less water in the air. 6 It is, therefore, highly probable that destruction of the rain forests will mean widespread drought.

เหตุผลประการที่สามในการอนุรักษ์ป่าเขตร้อนจะเกี่ยวข้องกับผลกระทบของมันที่มีต่อ ลักษณะภูมิอากาศทั่วโลก พืชทั้งหลายจะคายไอน้ำออกมาซึ่งจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชั้นบรรยากาศ พืชที่มีอยู่อย่างหนาแน่นในป่าเขตร้อนจะคายไอน้ำออกมาในปริมาณมหาศาล ไอนานี้จะเกิดการควบแน่น และกลั่นตัวตกลงมาเป็นฝน ถ้าป่าเขตร้อนหมดสิ้นไปก็จะมีน้ำในอากาศน้อยลง 6 ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูง ว่าการทำลายป่าฝนเขตร้อนจะนำมาซึ่งความแห้งแล้งที่กระจายไปทั่ว

21. Without the rain forests,______.

(1)    vapor would not condense and fall as rain

(2)    the dense plant life would cease to exist

(3)    the global climate would be greatly affected

(4)    there would be no seasonal change

ถาม     ถ้าไม่มีป่าฝนเขตร้อน  

1.      ไอน้ำจะไม่เกิดการควบแน่นและกลั่นตัวตกลงมาเป็นฝน

2.      พืชที่มีอยู่อย่างหนาแน่นก็จะหมดไป

3.      ภูมิอากาศทั่วโลกจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

4.      จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล

ตอบ 3  ดังคำกล่าวในประโยคที่ 1 และ 6

22. Widespread drought is the_____of the destruction of the rain forests.

(1) result  (2) cause  (3) reason         (4) meaning

ถาม     ความแห้งแล้งที่แพร่กระจายไปทั่วเป็น______ของการทำลายป่าฝนเขตร้อน

1. ผลลัพธ์ 2. สาเหตุ            3. เหตุผล       4. ความหมาย

ตอบ 1 ดังคำกล่าวในประโยคสุดท้าย การทำลายของป่าฝนเขตร้อนจะนำมาซึ่งความแห้งแล้งที่แพร่กระจายไปทั่ว    

23. Which is a hypothetical sentence ?          

(1) 1            (2) 2         (3) 5         (4) 6

ถาม     ข้อใดเป็นประโยคแสดงสมมุติฐาน                 

1.1               2. 2 3. 5          4. 6

ตอบ 4 สังเกตจากคำว่า highly probable ซึ่งแสดงการคาดคะเน

24. The author of this paragraph tries to______his/her readers.

(1) discourage (2) convince     (3)force    (4) blame

ถาม ผู้เขียนย่อหน้านี้พยายามที่จะ______ผู้อ่าน

1.   ทำให้ท้อแท้ 2. จูงใจ 3. บังคับ 4. ตำหนิ

ตอบ 2  ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านยอมรับถึงความสำคัญของป่า และพยายามชี้ให้เห็นถึงผลกระทบ ที่เกิดจากการทำลายป่า

Passage 4

1 In the 1880s, William James formulated the first modern theory of emotion, and at almost the same time a Danish psychologist, Carl Lange, reached the same conclusions. 2 According to the James-Lange theory, stimuli cause physiological changes in our bodies, and emotions are the result of those physiological changes. 3 If you come face-to-face with a grizzly bear, the perception of the stimulus (the bear) causes your muscles, skin, and viscera (internal organs) to undergo changes: faster heart rate, enlarged pupils, deeper or shallower breathing, flushed face, increased perspiration, butterflies in the stomach, and a gooseflesh sensation as the body’s hairs stand on end. 4 The emotion of fear is simply your awareness of these changes. 5 All of this, of course, happens almost instantaneously and in a reflexive, automatic way.

(1) ในช่วงทศวรรษ 1880 วิลเลียม เจมส์ ได้ค้นพบทฤษฎีสมัยใหม่ทฤษฎีแรกเกี่ยวกับอารมณ์ และ ในเวลาใกล้เคียงกัน คาร์ล แลง นักจิตวิทยาชาวเดนมาร์ก ก็ได้ข้อสรุปแบบเดียวกับ (2)ตามทฤษฎีเจมส์-แลง สิ่งเร้าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในร่างกายของเรา และอารมณ์ก็คือผลจากการ เปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาเหล่านั้น (3)ถ้าคุณเผชิญหน้ากับหมีใหญ่ตัวหนึ่ง การรับรู้ต่อสิ่งเร้านี้ (หมี) จะทำให้ กล้ามเนื้อ ผิวหนัง และท้องไส้ (อวัยวะภายใน) ของคุณเกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ อัตราการเต้นของ หัวใจเร็วขึ้น รูม่านตาขยาย การหายใจลึกขึ้นหรือแผ่วลง หน้าแดง เหงื่อออกมากขึ้น ท้องไส้ป่นป่วน และเกิด ความรู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว ส่วนอารมณ์กลัวเป็นแค่เพียงการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ของคุณ (5)และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเกือบจะในทันทีทันใดในรูปของปฏิกิริยาสะท้อนอัตโนมัติ

25.       The paragraph discusses_______

(1) a definition of emotion (2) two psychologists

(3) effects of emotion (4) the James-Lange theory

ถาม ย่อหน้านี้ว่าด้วยเรื่อง

1. นิยามของคำว่าอารมณ์ 2. นักจิตวิทยา 2 คน 3. ผลกระทบของอารมณ์ 4. ทฤษฎีเจมส์-แลง

ตอบ 4  ย่อหน้านี้พูดถึงทฤษฎีเจมส์-แลง ว่าทฤษฎีนี้มีความเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับอารมณ์

26.       The main idea of the paragraph is in sentence______

(1) 1      (2) 2      (3) 4      (4) 5

ถาม ใจความสำคัญของย่อหน้านี้อยู่ในประโยคที่

1.1          2.2         3. 4         4. 5

ตอบ 2  ซึ่งต้องการบอกว่าตามทฤษฎีของเจมส์-แลง เชื่อว่าอารมณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนประโยคที่ 1 เป็นประโยคนำ และประโยคที่ 34 และ 5 เป็นประโยคสนับสนุนหลักอธิบายประโยคที่ 2

27.       The James-Lange theory explains_______.

(1) what stimuli cause       (2) why emotions occur

(3) what makes physical changes     (4) how you feel when seeing a grizzly bear

ถาม     ทฤษฎีเจมส์-แลงอธิบายถึง    

1. สิ่งที่เกิดจากสิ่งเร้า  2. สาเหตุที่อารมณ์เกิดขึ้น

3. สิงที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

4. ความรู้สึกเมื่อคุณเห็นหมีใหญ่

ตอบ 2  ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

28.       According to the details of the paragraph, the stimulus is________.

(1) a grizzly bear        (2) a body change     (3) a feeling       (4) an awareness

ถาม     จากรายละเอียดของย่อหน้า สิ่งเร้าคือ______     

1. หมีใหญ่       2. การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย         3. ความรู้สึก 4. การรู้ตัว

ตอบ 1 จากประโยคที่ 3

29.       The feeling mentioned in the details of the paragraph is the feeling of_______       

(1) excitement  (2) frightening  (3) fear      (4) surprise

ถาม     ความรู้สึกที่กล่าวถึงในรายละเอียดของย่อหน้านี้คือความรู้สึก______    

1. ตื่นเต้น         2. ทำให้กลัว    3. กลัว 4. ประหลาดใจ

ตอบ 3  จากประโยคที่ 4

30.       According to the paragraph, what causes emotions ?

(1) Stimuli (2) Perception  (3) Body changes (4) None is correct.

ถาม     จากย่อหน้า อะไรเป็นสาเหตุของอารมณ์

1. สิ่งเร้า          2. การรับรู้       3. การเปลี่ยนแปลงทางกาย      4.ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 จากประโยคที่ 2 ซึ่ง physiological changes = body changes

31.       The word “this” in sentence 5 refers to______.

(1) emotions and body changes       (2) body changes and perception

3) perception and emotions   (4) perception and awareness

ถาม     คำว่า “this” ในประโยคที่ 5 อ้างอิงถึง       

1. อารมณ์และการเปลี่ยนแปลงทางกาย 2. การเปลี่ยนแปลงทางกายและการรับรู้ 3. การรับรู้และอารมณ์ 4. การรับรู้และการรู้ตัว

ตอบ 1  นั่นคือ อารมณ์จะเป็นปฏิกิริยาสะท้อนอัตโนมัติจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย และการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเป็นปฏิกิริยาสะท้อนอัตโนมัติจากการรับรู้

32.       The word “undergo” in sentence 3 is similar in meaning to_______.

(1) remain (2) understand (3) produce       (4) experience

ถาม     คำว่า “undergo” ในประโยคที่ 3 มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า         

1. คงไว้            2. เข้าใจ          3. ผลิต            4. ประสบ

ตอบ 4  undergo เป็นสกรรมกิริยา (vt.) แปลว่า ประสบ พบ ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า experience (vt.)

Passage 5

1 After the Revolutionary War, the new United States government adopted a pluralistic approach to Native-American societies, seeking to gain more land through treaties. 2 Payment for land was far from fair, however, and when Native Americans resisted demands to surrender their homelands, superior military power was brought in to evict them. 3 Thousands of Cherokees, for example, died on a forced march—the Trail of Tears—from their homes in the southeastern United States to segregated reservations in the Midwest. 4 By the early 1800s, few Native Americans remained east of the Mississippi River.

(1)ภายหลังสงครามปฏิวัติ รัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกาได้รับเอาวิธีการแบบพหุนิยมมาใช้กับ สังคมของชาวอเมริกันพื้นเมือง เพื่อแสวงหาดินแดนเพิ่มโดยผ่านการทำสนธิสัญญา 2 แต่อย่างไรก็ตาม การชำระค่าที่ดินห่างไกลจากความยุติธรรม และเมื่อชาวอเมริกันพื้นเมืองขัดขืนคำสั่งที่จะให้มอบ ผืนแผ่นดินเกิดของพวกเขา ก็มีการส่งกองกำลังทหารที่เหนือกว่ามาขับไล่พวกเขา (3)ยกตัวอย่างเช่น ชนเผ่าเชโรกีหลายพันคนเสียชีวิตในระหว่างการเดินทางบนเส้นทางสายน้ำตา ซึ่งถูกบังคับให้ออกจากบ้าน ของพวกเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาไปยังค่ายกักกันที่ถูกแยกออกไปด่างหากทางตะวันตก ตอนกลาง (4)ราวต้นทศวรรษ 1800 มีชาวอเมริกันพื้นเมืองไม่มากนักที่ยังคงอาศัยอยู่ทางตะวันออกของ แม่น้ำมิสซิสซิปปี

33.      Which is true based on the paragraph ?

(1)    Native Americans loved their land.

(2)    Native Americans gave their land to the U.Sgovernment.

(3)    Native Americans demanded more land from the U.Sgovernment.

(4)    Native Americans adopted pluralistic approach toward the U.Sgovernment.

ถาม ข้อใดถูกต้องตามย่อหน้านี้

1.      ชาวอเมริกันพื้นเมืองรักผืนแผ่นดินของพวกเขา

2.      ชาวอเมริกันพื้นเมืองมอบผืนแผ่นดินของพวกเขาให้แก่รัฐบาลของสหรัฐอเมริกา

3.      ชาวอเมริกันพื้นเมืองต้องการดินแดนจากรัฐบาลของสหรัฐอเมริกามากกว่านี้

4.      ชาวอเมริกันพื้นเมืองไต้รับเอาวิธีการแบบพหุนิยมมาใช้กับรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา

ตอบ 1  วิเคราะห์จากประโยคที่ 2 จากข้อความที่ว่า ชาวอเมริกันพื้นเมืองขัดขืนคำสั่งที่จะมอบ

ผืนแผ่นดิบเกิดของพวกเขาให้แก่รัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกา นั่นแสดงว่า ชาวอเมริกันพื้นเมือง มีความรักต่อผืนแผ่นดินของพวกเขา

34.    According to the paragraph, the U.Sarmy was____than the Native Americans.

(1) more powerful (2) less powerful (3) braver (4) weaker

ถาม จากย่อหน้า กองทัพสหรัฐอเมริกา_____กว่าชาวอเมริกันพื้นเมือง

1.   มีกำลังเหนือกว่า 2. มีกำลังน้อยกว่า 3. กล้าหาญกว่า 4. อ่อนแอกว่า

ตอบ 1  จากประโยคที่ 2 จากคำที่ว่า superior military power

35.    Which phrase reflects the author’s negative attitude towards the U.S?

(1) Adopted (2) Pluralistic approach (3) Payment (4) Far from fair

ถาม     วลีใดที่สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติในด้านลบของผู้เขียนที่มีต่อสหรัฐอเมริกา

1.         รับเอามา          2. วิธีการที่หลากหลาย            3. การชำระเงิน            4. ห่างไกลจากความยุติธรรม

ตอบ 4  จากประโยคที่ 1

36. It was “the trail of tears” because_______.

(1)       there were many deaths among the Cherokees

(2)       the Cherokees were forced to move out of their land

(3)       the Cherokees had to go and live in the reservation camps

(4)       All are correct.

ถาม     ที่เรียกว่า เส้นทางแห่งน้ำตา” เพราะว่า_______          

1.         ชนเผ่าเชโรกีเสียชีวิตจำนวนมาก

2.         ชนเผ่าเชโรกีถูกบังคับให้ย้ายออกจากผืนแผ่นดินของพวกเขา

3.         ชนเผ่าเชโรกีต้องไปอาศัยอยู่ในค่ายกักกัน    

4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4  จากประโยคที่ 3

Passage 6

1 Cultural norms, often in the form of law, regulate whom a person may marry. These norms distinguish categories of people who are suitable mates from those who are not. One pattern that results from such norms is endogamy, marriage between people of the same social group or category. 4 Every society has norms of endogamy that endorse marriage between people of the same age, tribe, race, religion, or social class. 5 some religions in the United States—especially Judaism and Catholicism—actively encourage endogamous marriage. 6 The second pattern, also found in every society, is exogamy marriage between people of different social groups or categories. 7 The prohibition against gay marriage in the United States and most other societies is the most obvious form of exogamy.

1 บรรทัดฐานทางวัฒนธรรมซึ่งมักอยู่ในรูปของกฎหมายจะกำหนดคนที่บุคคลจะแต่งงานด้วย 2 บรรทัดฐานเหล่านี้จะแยกให้เห็นว่าคนประเภทใดเป็นคู่สมรส.ที่เหมาะสมและประเภทใดเป็นคู่สมรสที่ไม่เหมาะสม 3 รูปแบบการแต่งงานแบบหนึ่งที่เป็นผลมาจากบรรทัดฐานนี้คือ การสมรสในหมู่พวกเดียวกัน ซึ่งเป็นการแต่งงานกันระหว่างคนที่อยู่ในประเภทหรือกลุ่มทางสังคมแบบเดียวกัน 4 สังคมทุกสังคมจะมี บรรทัดฐานของการสมรสในหมู่พวกเดียวกัน ซึ่งสนับสนุนการแต่งงานกับคนที่มีอายุ เผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา หรือระดับชั้นทางสังคมเดียวกัน 5 บางศาสนาในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนายิวและกลุ่มนิกาย คาทอลิกล่งเสริมให้มีการแต่งงานในหมู่พวกเดียวกันอย่างเข้มงวด 6 รูปแบบการแต่งงานแบบที่สองซึ่ง มักจะพบได้ในสังคมทุกสังคมด้วยเช่นกันก็คือการสมรสกับคบต่างพวกกัน ซึ่งเป็นการแต่งงานระหว่างคน ที่อยู่ในประเภทหรือกลุ่มทางสังคมที่แตกต่างกัน  5 กฎข้อห้ามในการแต่งงานของคนรักร่วมเพศในประเทศ สหรัฐอเมริกาและสังคมอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นรูปแบบของการมีคู่สมรสที่ต่างพวกกันที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด

37.       What is the paragraph about ?

(1)       Endogamy        (2) The law of the marriage

(3) Judaism and Catholicism    (4) Cultural norm and marriage patterns

ถาม     ย่อหน้านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

1.         การสมรสในหมู่พวกเดียวกัน

2.         กฎหมายเกี่ยวกับการสมรส

3.         ศาสนายิวและศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก

4.         บรรทัดฐานทางวัฒนธรรมและรูปแบบการแต่งงาน

ตอบ 4  นั่นคือ บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม และรูปแบบการแต่งงาน 2 รูปแบบ คือ

1.         การสมรสในหมู่พวกเดียวกัน

2.         การสมรสกับคนต่างพวกกัน

38.______marriage pattern(s) is/are explained in the paragraph.

(1) 1    (2) 2    (3) 3    (4) 4

ถาม     ในย่อหน้านี้อธิบายรูปแบบการแต่งงาน_____รูปแบบ

ตอบ 2  ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

39.       Which of the following is an example of exogamy ?

(1)       A Buddhist is married with a Christian.

(2)       A Thai woman is married with a foreigner.

(3)       A rich man is married with a poor woman.

(4)       All are correct.

ถาม     ข้อใดต่อไปนี้เป็นตัวอย่างองการสมรสกับคนต่างพวกกัน

1.         คนที่นับถือศาสนาพุทธแต่งงานกับคนที่นับถือศาสนาคริสต์

2.         ผู้หญิงไทยแต่งงานกับชาวต่างชาติ

3.         ผู้ชายรวยแต่งงานกับหญิงสาวยากจน

4.         ถูกทุกข้อ

ตอบ 4  จากประโยคที่ 6

40.       Marriage patterns result from______.

(1) cultural norms (2) relatives  (3) parents         (4) religions

ถาม     รูปแบบการแต่งงานเป็นผลมาจาก_______        

1. บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม                2. ญาติพี่น้อง 3. พ่อแม่          4. ศาสนา

ตอบ 1  จากประโยคที่ 123 และ 6

Part II : Unseen Passages (เนื้อเรื่องนอกตำรา)

A : Directions : Read the following passage. Then blacken 1 for a true statement and blacken 2 for a false statement.

คำสั่ง  จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้ แล้วใช้ดินสอดำระบาย 1 หากข้อความเป็นจริง หรือระบาย 2 หากข้อความนั้นผิด

Komaki. AFP

At least 224 people died when a China Airlines Airbus A-300 with 274 people on board crashed and exploded in a ball of fire while landing yesterday at Nagoya in central Japan.

37 people were listed as missing some 4 hours after the crash while 11 were listed as survivors.

Flight C-140 from Taipei to Nagoya was carrying 158 Japanese and 99 foreign passengers, including two infants, plus 15crew.

About 50 fire trucks were sent to tackle the blaze, which lit up the night sky around the airport. The blaze was extinguished 40 minutes after the airliner crashed at the end of the runway at about 8:13 p.m., an official said.

มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 224 คน เมื่อเครื่องบินแอร์บัส A-300 ของสายการบินไชนาแอรไลนส์ ซึ่งมีผู้อยู่บนเครื่อง 274 คน ตกและระเบิดไฟลุกท่วมขณะลงจอดเมื่อวานนี้ที่เมืองนาโกยา ตอนกลางของ ประเทศญี่ป่น

มีรายชื่อผู้สูญหายจำนวน 37 คน หลังจากเหตุการณ์เครื่องบินตก 4 ชั่วโมง ในขณะที่รายชื่อ ผู้รอดชีวิตมีจำนวน 11 คน

เที่ยวบินที่ C-140 จากกรุงไทเปไปยังเมืองนาโกยา บรรทุกผู้โดยสารชาวญี่ป่น 158 คน และ ผู้โดยสารขาวต่างชาติ 99 คน ซึ่งรวมถึงเด็กทารก 2 คน และลูกเรืออีก 15 คน

รถดับเพลิงประมาณ 50 คัน ถูกส่งไปเพื่อสกัดเพลิงซึ่งทำให้ท้องฟ้าในยามค่ำคืนรอบสนามบิน สว่างไสว เพลิงถูกดับภายใน 40 นาที หลังจากเครื่องบินโดยสารลำนั้นตกตรงสุดปลายรันเวย์ เมื่อเวลาประมาณ 20:13 น. เจ้าหน้าที่กล่าว

41.       This passage is about a plane crash in China.

ถาม     เนื้อเรื่องนี้เกี่ยวกับเครื่องบินตกในประเทศจีน

ตอบ 2  (ผิด) จากย่อหน้าแรก บอกว่าเครื่องบินตกในประเทศญี่ปุ่น (in central Japan)

42.       Only eleven people survived the disaster.

ถาม     มีผู้รอดชีวิตจากหายนะครั้งนี้เพียง 11 คนเท่านั้น

ตอบ 2  (ผิด) ข้อมูลเบื้องต้นบอกว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 224 คน สูญหาย 37 คน และรอดชีวิต 11 คน ซึ่งในที่นี้ผู้สูญหายยังไม่ทรบแน่ชัดว่าจะเสียชีวิตหรือมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่ ดังนั้น ที่ถูกต้องจึงสรุปว่ามีผู้รอดชีวิตอย่างน้อย 11 คน ไม่ใช่มีเพียง 11 คน

43.    The flight number of this plane was A-300.

ถาม     หมายเลขเที่ยวบินของเครื่องบินลำนี้คือ A-300

ตอบ 2  (ผิด) จากย่อหน้าที่ 3 หมายเลขเที่ยวบินของเครื่องบินลำนี้คือ C-140 บินจากกรุงไทเป ไปเมืองนาโกยา

44.    The plane flew from Nagoya to Taipei.

ถาม     เครื่องบินบินจากเมืองนาโกยาไปกรุงไทเป

ตอบ 2  (ผิด) ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45.    Most of the passengers were Japanese.

ถาม     ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น

ตอบ 1  (ถูก) จากย่อหน้าที่ 3 มีผู้โดยสารจำนวน 257 คน เป็นาวญี่ปุ่น 158 คน และาวต่างชาติ 99 คน

46.    The death toll was 274.

ถาม     จำนวนผู้เสียชีวิตมี 274 คน

ตอบ 2  (ผิด) จากเนื้อเรื่อง มีผู้อยู่บนเครื่อง 274 คน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 224 คน มีผู้รอดชีวิต อย่างน้อย 11 คน ดังนั้นผู้เสียชีวิตต้องอยู่ระหว่าง 224 – 263 คน

47.    The fire was put out 40 minutes after the crash.

ถาม     ไฟถูกดับภายใน 40 นาทีหลังจากเครื่องบินตก

ตอบ 1  (ถูก) จากประโยคสุดท้าย ซึ่งคำว่า the blaze = the fire และ extinguished = put out

48.    The airliner was Japanese owned.

ถาม     เครื่องบินโดยสารลำนี้มีชาวญี่ปุ่นเป็นเจ้าของ

ตอบ 2  (ผิด) เพราะเครื่องบินโดยสารลำนี้เป็นของสายการบินจีน และไม่ได้บอกว่ามีชาวญี่ปุ่นเป็นเจ้าของ

49.    The word “which” in the last paragraph refers to the blaze.

ถาม     คำว่า “which” ในย่อหน้าสุดท้ายอ้างอิงถึงกองเพลิง

ตอบ 1  (ถูก) ประพันธ์สรรพนาม which, who, that มักจะอ้างอิงถึงคำนามหลักที่อยู่ชิดข้างหน้า

50.    The plane exploded in the sky before crashing on the runway.

ถาม     เครื่องบินระเบิดบนท้องฟ้าก่อนที่จะตกบนรันเวย์

ตอบ 2  (ผิด) จากย่อหน้าแรกบอกว่าเครื่องบินตกแล้วระเบิด (crashed and exploded)

B : Directions : Read the following passages. Then choose the best answer for each question.

คำสั่ง : จงอ่านเนื้อเรื่องต่อไปนี้แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคำถามแต่ละข้อ

Passage 1

1 Recent attacks on Jewish places of worship, cemeteries and shops in France and Belgium were blamed on the worsening Middle East crisis. After a firebomb attack on a Marseilles synagogue, similar assaults were made in Lyons, Montpellier, and Strasbourg. 3 In the Belgian cities of Brussels and Antwerp, synagogues were also attacked. 4 The French prime minister warned that the “passions that flare up in the Middle East must not flare up” here in France, home to 4 million Muslims and around 700,000 Jews.

1 การรโจมตีสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา สุสาน และร้านค้าของชาวยิวในประเทศฝรั่งเศส และเบลเยียมเมื่อเร็ว ๆ นี้ กล่าวกันว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ในตะวันออกกลางที่กำลังเลวร้าย 2 หลังจากการโจมตีด้วยระเบิดเพลิงที่สุเหร่าชาวยิวในเมืองมาร์กเซยี การโจมตีในลักษณะเดียวกันก็เกิดขึ้น ที่เมืองลียงมองท์เปลิเย่ และสตารส์บวร์ก 3 ที่กรุงบรัสเซลล์และเมืองแอนท์เวิร์ปในประเทศเบลเยียม สุเหร่าของชาวยิวก็ถูกโจมตีด้วยเช่นกัน 4 นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสได้ออกมากล่าวเตือนว่า ความโกรธแค้น ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในตะวันออกกลางจะต้องไม่ลุกเป็นไฟ ” ในที่แห่งนี้ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบ้านให้กับชาวมุสลิม 4 ล้านคน และชาวยิวประมาณ 700,000 คน

51.       Which pair of words shares a similar meaning ?

(1) attacks, assaults  (2)       blamed,   warned

(3)       crisis, firebomb        (4) cemetery,    home

ถาม     คำคู่ใดมีความหมายคล้ายคลึงกัน

1. การโจมตีการจู่โจม           2. กล่าวโทษเตือน 3. วิกฤตระเบิดเพลิง 4. สุสานบ้าน

ตอบ 1  ในทีนี้คำว่า attacks เป็นคำนาม (n.) แปลว่า การโจมตี มีความหมายเหมือนคำว่า assaults (n.) = การจู่โจม การโจมตี การประทุษร้าย

52.       Which group of people was under attack ?

(1) The French  (2)       The Jews  (3)       The Muslims    (4) The Belgians

ถาม     คนกลุ่มใดที่ถูกโจมตี

1. ชาวฝรั่งเศส          2. ชาวยิว            3. ชาวมุสลิม        4. ชาวเบลเยียม

ตอบ 2  จากประโยคที่ 1 บอกว่าสถานที่ต่าง ๆ ที่ถูกโจมตีเป็นของชาวยิว (Jewish)

53.       It is believed that the attacks mentioned in the paragraph were related to______.

(1) religious problems       (2)       European social unrest

(3) a political crisis    (4)       problems in the Middle East

ถาม     เชื่อกันว่าการโจมตีที่กล่าวถึงในย่อหน้านี้มีความเกี่ยวข้องกับ_____        

1. ปัญหาทางศาสนา   2. ความไม่สงบทางสังคมของชาวยุโรป

3. วิกฤตการณ์ทางการเมือง    4. ปัญหาในตะวันออกกลาง

ตอบ 4 จากประโยคที่ 1 บอกว่า ถูกกล่าวว่าเกิดจาก (blamed on) วิกฤตการณ์ (cricis = problems) ในตะวันออกกลาง

54.    What places were attacked in Lyons, Montpellier, and Strasbourg ?

(1) Synagogues (2) Cemeteries (3) Churches (4) Cities

ถาม สถานที่ใดที่ถูกโจมตีในเมืองลียงมองท์เปลิเย่ และสตารส์บวร์ก

1.   สุเหร่าของชาวยิว 2. สุสาน 3. โบสถ์คริสต์ 4. ในเมือง

ตอบ 1  จากประโยคที่ 2 ซึ่ง similar assaults ก็คือ firebomb attacks on synagogues

55.    About______Muslims  live in France.

(1) 4,000 (2) 40,000 (3) 400,000 (4) 4,000,000

ถาม ชาวมุสลิมจำนวนประมาณ______คน อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส

1. 4,000     2. 40,000     3. 400,000    4. 4,000,000

ตอบ 4  จากประโยคสุดท้าย

56.    It is most likely that this news report is from_____

(1) Belgium (2) the Middle East (3) France (4) the U.S.A.

ถาม เป็นไปได้มากที่สุดว่ารายงานข่าวนี้มาจาก_______

1.   เบลเยียม 2. ตะวันออกกลาง 3. ฝรั่งเศส 4. สหรัฐอเมริกา

ตอบ 3 เพราะสังเกตจากคำว่า here ในประโยคสุดท้าย

57.    What should be the title of this passage ?

(1) Crisis in the Middle East (2) Dangerous Cities

(3) Troubled Europe (4) Difficult Political Situation

ถาม เนื้อเรื่องนี้ควรมีซื่อว่าอย่างไร

1.   วิกฤตการณ์ในตะวันออกกลาง 2. เมืองอันตราย 3. ยุโรปที่กำลังแย่ 4. สถานการณ์ทางการเมืองที่ยุ่งยาก

ตอบ 2 ใจความสำคัญของย่อหน้า คือ มีการโจมตีชาวยิวเกิดขึ้นในเมืองต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ซึ่งผู้เขียนกำลังบอกว่ามีเมืองใดบ้างที่ประสบกับเหตุการณ์ดังกล่าว

Passage 2

The modern sailing ship was developed by a man who never went to sea. He was Prince Henry of Portugal, the younger son of the Portuguese king and an English princess.

Prince Henry lived in the fifteenth century. As a boy he became devoted to the sea, and he dedicated himself to improving the design of ships and the methods of sailing them. In 1416, when he was twenty-two, Henry founded a school for mariners, to which he invited everyone who could help him—Jewish astronomers, Italian and Spanish sailors, Arab mathematicians and map makers who knew how to use the crude compass of the day and could improve it.

Henry’s goal was to design and equip vessels that would be capable of making long ocean voyages without having to hug the shore. The caravel carried more sail and was longer and slimmer than any ship then made, yet was tough enough to withstand gales at sea. He also developed the carrack, which was capable of carrying more cargo.

To Prince Henry the world owes credit for development of craft that made ocean exploration possible. He lives in history as Henry the Navigator.

เรือใบเดินทะเลสมัยใหม่ถูกพัฒนาขึ้นโดยชายผู้หนึ่งซึ่งไม่เคยออกทะเลเลย เขาคือเจ้าชายเฮนรี แหงโปรตุเกส โอรสองค์เล็กของกษัตริย์โปรตุเกสกับเจ้าหญิงอังกฤษ

เจ้าชายเฮนรีมีพระชนม์อยู่ช่วงศตวรรษที่ 15 ขณะทรงพระเยาว์พระองค์ทรงผูกพันกับทะเล เป็นอย่างยิ่ง และทรงได้อุทิศตนในการพัฒนารูปแบบของเรือและวิธีการเดินเรือเสียใหม่ ในปี ค.ศ. 1416 เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 22 พรรษา พระองค์ทรงก่อตั้งโรงเรียนนักเดินเรือ โดยทรงเชื้อเชิญทุกคน ที่สามารถช่วยเหลือพระองค์ได้มายังที่นี่ ได้แก่ นักดาราศาสตร์ชาวยิว กะลาสีเรือชาวอิตาลีและสเปน นักคณิตศาสตร์ชาวอาหรับ และนักเขียนแผนที่ซึ่งรู้จักวิธีใช้เข็มทิศแบบหยาบ ๆ ในยุคสมัยนั้นและ สามารถพัฒนามันให้ดีขึ้นได้

เป้าหมายของเจ้าชายเฮนรีคือเพื่อออกแบบและติดตั้งอุปกรณ์ในเรือเพื่อให้สามารถเดินทางใน มหาสมุทรได้ในระยะทางไกล ๆ โดยไม่ต้องเลาะเลียบชายฝั่ง เรือคาราเวลของพระองค์จะรองรับใบเรือ ได้มากกว่า ยาวกว่า และเพรียวกว่าเรือทุกชนิดที่สร้างในสมัยนั้น อีกทั้งแข็งแรงทนทานพอที่จะต้านทาน ลมพายุในทะเลได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงพัฒนาเรือคาร์แร็คซึ่งสามารถบรรทุกสินค้าได้ มากขึ้นอีกด้วย

สำหรับเจ้าชายเฮนรี โลกต้องยกความดีความชอบให้กับพระองค์สำหรับการพัฒนาเรือที่ทำให้ การสำรวจมหาสมุทรเป็นสิงที่เป็นไปได้ พระองค์ถูกจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ในฐานะ เฮนรีนักเดินเรือ

58.       In paragraph 1, the author starts his introductory paragraph by stating an_______fact.

(1) unnatural (2) unusual (3) insignificant (4) inevitable

ถาม ในย่อหน้าที่ 1 ผู้เขียนเริ่มย่อหน้านำโดยการกล่าวถึงข้อเท็จจริงที่________

1.   1 ไม่เป็นธรรมชาติ 2. แปลก 3. ไม่สำคัญ 4. ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ตอบ 2  ผู้เขียนเริ่มเรื่องด้วยข้อเท็จจริงที่แปลกที่ว่านักออกแบบเรือไม่เคยออกทะเล เพื่อดึงดูด ความสนใจของผู้อ่าน

59.       And in doing so. the author probably expects to______

(1) satisfy his need (2) attract his audience’s interest

(3) establish a common ground (4) emphasize the idea to be further discussed

ถาม ในการทำเช่นนั้น ผู้เขียนอาจคาดหวังที่จะ________

1.   1 สนองความต้องการของเขาเอง 2. ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน 3. สร้างความเข้าใจพื้นฐานร่วมกัน 4. ย้ำถึงแนวคิดที่จะพูดถึงต่อไป

ตอบ 2  ดูคำอธิบายข้อ 75. ประกอบ

60.       Prince Henry was________

(1). a teacher (2) a mariner (3) a founder of a school (4) an explorer

ถาม เจ้าชายเฮนรีเป็น________

1.   1 ครู 2. นักเดินเรือ 3. ผู้ก่อตั้งโรงเรียน 4. นักสำรวจ

ตอบ 3 จากประโยคที่ 3 ของย่อหน้าที่ 2

61.       In paragraph 2, “who” refers to_______.

(1)       Jewish astronomers         (2) Italian and Spanish sailors

(3) Arab mathematicians         (4) map makers

ถาม     ในย่อหน้าที่ 2 “who” อ้างอิงถึง_______

1.         นักดาราศาสตร์ชาวยิว             2. กะลาสีเรือซาวอิตาลีและสเปน

3. นักคณิตศาสตร์ชาวอาหรับ         4. นักเขียนแผนที่

ตอบ 4 ตัวอ้างอิง “who” เป็นคำสรรพนามที่ใช้อ้างอิงถึงคำหรือข้อความที่กล่าวไปแล้ว ในที่นี้ who = map makers

62.       Prince Henry started his school for the purpose of_____.

(1) helping the mariners   (2) studying astronomy and mathematics

(3) improving his own skill as a sailor       (4) improving ship design and sailing methods

ถาม     เจ้าชายเฮนรีทรงก่อตั้งโรงงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ_______   

1.         ช่วยเหลือนักเดินเรือ

2.         ศึกษาดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์

3.         พัฒนาทักษะของพระองค์เองในฐานะกะลาสีเรือ

4.         ปรับปรุงรูปแบบของเรือและวิธีการเดินเรือ

ตอบ 4  จากย่อหน้าที่ 2-3

63.       Prince Henry wanted to see a ship that could_______.

(1)       make long deep-sea voyages

(2)       explore the coastline of Portugal

(3)       travel faster than those in use at the time

(4)       carry larger crews and more cargo than existing ones

ถาม     เจ้าชายเฮนรีต้องการที่จะเห็นเรือที่สามารถ________    

1.         เดินทางในทะเลลึกได้เป็นระยะทางไกล

2.         สำรวจชายฝั่งของโปรตุเกส

3.         เดินทางได้เร็วกว่าเรืออื่น ๆ ที่ใช้กันสมัยนั้น

4.         บรรทุกลูกเรือและสินค้าได้มากกว่าลำที่ใช้กันอยู่

ตอบ 1  จากย่อหน้าที่ 3

64.       Compared with his caravel, Prince Henry’s carrack was  ________,

(1) able to carry more cargo     (2) able to carry more sail

(3) longer and slimmer     (4) shorter

ถาม     เมื่อเทียบกับเรือคาราเวลของพระองค์ เรือคาร์แร็คของเจ้าชายเฮนรี _____

1. สามารถบรรทุกสินค้าได้มากกว่า    2. สามารถรองรับใบเรือได้มากกว่า

3. ยาวกว่าและเพรียวกว่า       4. สั้นกว่า

ตอบ 4 จากย่อหน้าที่ 3 ที่บอกว่าเรือคาราเวลสามารถรองรับใบเรือได้มากกว่า ยาวกว่า และเพรียวกว่า เรือใด ๆ ดังนั้นแสดงว่าเรือคาร์แร็คก็ต้องรองรับใบเรือได้น้อยกว่า สั้นกว่า และเทอะทะกว่า และสำหรับเรือคาร์แร็คในเนื้อเรื่องก็ไม่ได้บอกว่ามันสามารถบรรทุกสินค้าได้มากกว่า เรือชนิดอื่น

65.    Prince Henry’s principal achievement was to_______.

(1)    make oceanic exploration possible         (2) found a school for mariners

(3) invent the clipper ship       (4) improve the compass

ถาม     ความสำเร็จหลัก ๆ ที่สำคัญของเจ้าชายเฮนรีคือการ 

1. ทำให้การสำรวจมหาสมุทรเป็นสิ่งที่เป็นไปได้        2. ก่อตั้งโรงเรียบนักเดินเรือ

3. ประดิษฐ์เรือใบคลิปเปอร์   4. พัฒนาเข็มทิศ

ตอบ 1  จากย่อหน้าสุดท้าย

Passage 3

1 A few months after returning to the United States from Germany during my Army service, I enrolled in a college course in conversational French. 2 Since I had learned to speak German fluently while overseas, I thought it might be fun to begin studying yet another language.

3 At the first class, the instructor asked us to write a little of our personal history. 4 Then he conducted a pronunciation exercise in which he would say a word or two in French, and each student would do his best to copy. 5 When the instructor got to me, he kept having me say additional words, and I finally asked him why.

6 I find this fascinating,” he explained. 7 In 25 years of teaching languages, it’s the first time I’ve heard a Cherokee Indian from Oklahoma speak French with a German accent.”

1 สองสามเดือนหลังจากเดินทางกลับจากประเทศเยอรมนีในระหว่างที่รับราชการทหารมายัง สหรัฐอเมริกา ผมได้ลงทะเบียนเรียนหลักสูตรการสนทนาภาษาฝรั่งเศสในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เนื่องจาก ผมได้หัดพูดภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่วขณะที่อยู่ต่างประเทศ ผมจึงคิดว่ามันน่าจะสนุกหากได้เรียน อีกภาษาหนึ่ง

ในคาบเรียนแรก อาจารย์ผู้สอนขอให้พวกเราเขียนประวิดส่วนตัวสั้น ๆ จากนั้นเขาก็เริ่มทำการฝึกออกเสียง ซึ่งเขาจะพูดภาษาฝรั่งเศสหนึ่งถึงสองคำแล้วให้นักศึกษาแต่ละคนพยายามออกเสียงตาม เมื่ออาจารย์เรียกชื่อผม เขาให้ผมพูดคำอื่นเพิ่มเติมคำแล้วคำเล่า และในที่สุดผมจึงถามเขาว่าเพราะอะไร

6 ผมคิดว่าอันนี้แปลกดี” เขาอธิบาย  ผมสอนภาษามา 25 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยิน

ชาวอินเดียแดงเผ่าเชโรกีจากรัฐโอกลาโฮม่าพูดภาษาฝรั่งเศสด้วยสำเนียงเยอรมัน

66.    The narrator was a/an______.       

(1) American   (2)     German   (3) French         (4) Not mentioned in the passage.

ถาม     ผู้เล่าเป็น______  

1. ชาวอเมริกัน           2. ชาวเยอรมัน           3. ชาวฝรั่งเศส            4. ไม่ได้ระบุไว้ในเนื้อเรื่อง

ตอบ 1  จากย่อหน้าสุดท้าย ทำให้ทราบได้ว่าผู้เล่าเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียแดง

67.    What did the narrator do before taking a college course ?

(1) He took a French course.   (2) He was a soldier.

(3)    He was a college student.       (4) He worked in a company.

ถาม     ผู้เล่าทำอะไรก่อนลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัย

1.         เขาเคยเรียนภาษาฝรั่งเศส      2. เขาเคยเป็นทหาร

3. เขาเคยเป็นนักศึกษาวิทยาลัย         4. เขาเคยทำงานในบริษัท

ตอบ 2 จากประโยคที่ 1 เขารับราชการทหารอยู่ในประเทศเยอรมนี

68.       The narrator took a_______class after returning from Germany.

(1)       history      (2) language      (3) reading         (4) All of the above.

ถาม     ผู้เล่าได้สมัครเรียน_______หลังจากกลับมาจากประเทศเยอรมนี

1. ประวัติศาสตร์         2. ภาษา 3. การอ่าน    4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 2  จากประโยคที่ 1 เขาเรียนการสนทนาภาษาฝรั่งเศส

69.       The narrator learned German by_______.

(1) talking with parents    (2) studying from books

(3) reading after a tape     (4) living in a German environment

ถาม     ผู้เล่าเรียนรู้ภาษาเยอรมันโดย_______   

1. สนทนากับพ่อแม่     2. ศึกษาจากตำรา

3. ฝึกอ่านตามเทป       4. ใช้ชีวิดอยู่ในประเทศเยอรมนี

ตอบ 4 : จากประโยคที่ 2 โดยการเป็นทหารอยู่ที่ประเทศเยอรมนี

70.       According to the passage, at the first class the students were asked to_______.

(1) talk to each other in French         (2) read a paragraph in French

(3) introduce themselves in writing (4) discuss why they took the class

ถาม     จากเนื้อเรื่อง ในคาบแรกนักศึกษาถูกขอให้ _____

1. พูดคุยกันเป็นภาษาฝรั่งเศส                 2. อ่านบทความภาษาฝรั่งเศส

3. แนะนำตัวเองโดยการเขียน   4. อธิบายถึงเหตุผลที่เรียนวิชานี้

ตอบ 3 : จากประโยคที่ 3

71.       Which is correct ?

(1)       The narrator enjoyed studying French.

(2)       The writer could speak German fluently.

(3)       The college the narrator went to was in Oklahoma.

(4)       The narrator was the first student who came from Germany.

ถาม     ข้อใดถูกต้อง

1.         ผู้เล่าสนุกกับการเรียนภาษาฝรั่งเศส

2.         ผู้เขียนสามารถพูดภาษาเยอรมันได้คล่อง

3.         มหาวิทยาลัยที่ผู้เล่าเข้าเรียนอยู่ในรัฐโอกลาโฮม่า

4.         ผู้เล่าเป็นนักศึกษาคนแรกที่มาจากเยอรมนี

ตอบ 2  จากประโยคที่ 2 และจากประโยคที่ 7 ที่แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนสามารถพูดภาษาเยอรมัน ได้คล่องมาก จนฝึกพูดภาษาฝรั่งเศสยังออกสำเนียงเยอรมัน

72.       The narrator wondered why the instructor_______.

(1)       kept asking him to say words (2) never saw a German student

(3) said he spoke French fluently     (4) asked the student to repeat a word

ถาม     ผู้เล่าสงสัยว่าทำไมอาจารย์จึง _______

1.เฝ้าขอให้เขาพูดแล้วพูดอีก   2. ไม่เคยเห็นนักศึกษาชาวเยอรมันมาก่อน

3. พูดว่าเขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่อง 4. ขอให้นักศึกษาว่าตาม

ตอบ 1  จากประโยคที่ 5

73.       The word “this” in the last paragraph refers to_____.

(1)       25 years of teaching languages

(2)       a German speaking French fluently

(3)       a student saying additional words without hesitation

(4)       a Cherokee Indian from Oklahoma speaking French with a German accent

ถาม คำว่า “this” ในย่อหน้าสุดท้าย อ้างอิงถึง_______         

1.         25 ปีของการสอนภาษา

2.         ชาวเยอรมันคนหนึ่งที่พูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่อง

3.         นักศึกษาคนหนึ่งที่พูดคำอื่นเพิ่มเติมโดยไม่ลังเล

4.         ชาวอินเดียแดงเผ่าเชโรกีจากรัฐโอกลาโฮม่าทีพูดภาษาฝรั่งเศสด้วยสำเนียงเยอรมัน

ตอบ 4 : ตัวอ้างอิง “this” เป็นคำสรรพนามที่ใช้อ้างอิงถึงคำหรือข้อความ ในที่นี้

this = a Cherokee Indian from Oklahoma speaking French with a German accent ซึ่งเป็นการอ้างอิงไปข้างหน้า

74.       How did the instructor know each student ? (1) Each student wrote him.

(2)       It is not mentioned in the passage. (3) He read each student’s application form. (4) Each student presented himself in front of the class.

ถาม     อาจารย์รู้จักนักศึกษาแต่ละคนได้อย่างไร

1. นักศึกษาแต่ละคนเขียนส่งให้เขา    2. ไม่ได้ระบุไว้ในเนื้อเรื่อง

3. เขาอ่านใบสมัครของนักศึกษาแต่ละคน      4. นักศึกษาแต่ละคนแนะนำตัวหน้าชั้นเรียน

ตอบ 1 จากประโยคที่ 3 ผู้เป็นอาจารย์รู้ว่าผู้เขียนเป็นชาวอินเดียแดงเผ่าเชโรกีมาจากรัฐโอกลาโอม่า เพราะในชั่วโมงเรียนนั้นมีการให้เขียนประวัติส่วนตัว

Passage 4

Everyone remembers his first love. Few experiences will ever be as intense and overwhelming as your first crush.

When teenagers develop a sense of extraordinary closeness with another person, the experience has echoes of the close contact between mother and child in infancy.

Falling in love as a teenager is more intense than the experience in adulthood. But these early relationships usually burn out quickly. One survey showed that at age 15, dating relationships last an average of only three to four months.

Researchers have identified pathways in the brain which light up when teenagers are in love. Falling in love seems to have a similar effect on the brain as using cocaine. It’s so pleasurable, and it’s almost like an addiction.

Researchers have identified three phases of love. The initial physical response is ‘lust.’ The falling in love is called ‘attraction.’ The emotional commitment, required to make relationships last in the long term, is known as ‘attachment.’

Teenagers seem to experience the attraction phase more strongly than adults, but their failure to enter the attachment phase may be to blame for the short-term nature of their relationships.

However short-lived it might turn out to be, an experience of passionate love can quickly become the most important thing in a young person’s life. Teenagers in love spend endless hours talking, either on the phone or face to face.

This intimacy teaches them about their own identity, simply through becoming close to someone else. Intimacy also involves openness, sharing and trust, so it also contributes to maturity.

ทุกคนจำรักครั้งแรกของตัวเองได้ แทบไม่มีประสบการณ์ใดที่จะลึกซึ้งและยิ่งใหญ่เท่ากับรัก ครั้งแรกของเรา

เมื่อวัยรุ่นมีความรู้สึกใกล้ชิดเป็นพิเศษกับใครคนหนึ่ง ประสบการณ์นี้ก็จะคล้ายๆ กับความสัมพันธ์ ใกล้ชิดระหว่างแม่กับลูกในวัยทารก

การตกหลุมรักในวัยรุ่นจะลึกซึ้งรุนแรงมากกว่าการตกหลุมรักในวัยผู้ใหญ่ แต่ความสัมพันธ์ของ วัยรุ่นนี้โดยปกติจะมอดดับลงไปอย่างรวดเร็ว ผลการสำรวจชิ้นหนึ่งได้แสดงให้เห็นว่าสำหรับวัยรุ่นอายุ 15 ปี ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการนัดพบกันนั้นจะอยู่ได้นานเฉลี่ยประมาณสามถึงสี่เดือนเท่านั้น

นักวิจัยได้พบว่าความคิดในสมองจะสว่างขึ้นเมื่อวัยรุ่นตกหลุมรัก การตกหลุมรักดูเหมือนว่า จะมีผลกระทบต่อสมองเช่นเดียวกับการเสพโคเคน มันช่างมีความสุข และมันเกือบเหมือนกับอาการติดยาเลยทีเดียว

นักวิจัยได้แบ่งขั้นของความรักออกเป็น 3 ขั้น การตอบสนองทางร่างกายในช่วงแรกก็คือ ‘‘ความใคร่” การตกหลุมรักจะเรียกว่า ความดึงดูดใจ” ส่วนข้อผูกมัดทางอารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ความสัมพันธ์ คงอยู่ยาวนานจะเรียกว่า ความผูกพัน

ดูเหมือนว่าวัยรุ่นจะประสบกับขั้นความดึงดูดใจที่รุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่ แต่ความล้มเหลวที่จะ ก้าวเข้าสู่ขั้นความผูกพันก็น่าจะเกิดจากธรรมชาติของความสัมพันธ์ของพวกเขาที่สั้นเกินไป

ถึงแม้ความสัมพันธ์นี้จะอยู่ได้ช่วงสั้นแค่ไหนก็ตาม แต่ประสบการณ์ของความรักที่รุนแรงก็สามารถ กลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนหนุ่มสาวได้ในฉับพลัน วัยรุ่นที่อยู่ในห้วงแห่งความรักจะใช้เวลานาน หลายชั่วโมง พูดคุยกันไม่รู้จักจบ ไมว่าจะทางโทรศัพท์หรือเมื่ออยู่ต่อหน้ากัน

ความใกล้ชิดสนิทสนมกันนี้จะสอนพวกเขาเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขาเองโดยเพียงการได้ใกล้ชิด กับใครบางคน นอกจากนั้นความใกล้ชิดสนิทสนมยังเกี่ยวข้องกับการเปิดเผย การมีส่วนร่วม และความเชื่อใจกัน ดังนั้นมันจึงมีส่วนสร้างความเป็นผู้ใหญ่ไปด้วยพร้อมกัน

75.       The passage is about_______

(1) teenagers’ falling in love (2) three stages of love

(3) importance of falling in love (4) the first love

ถาม เนื้อเรื่องนี้พูดเกี่ยวกับ_______

1. การตกหลุมรักของวัยรุ่น        2. ความรัก 3 ขั้น

3. ความสำคัญของการตกหลุมรัก 4. รักครั้งแรก

ตอบ 1 เนื้อเรื่องนี้ส่วนใหญ่พูดถึงความรักของวัยรุ่นว่ามีลักษณะอย่างไร

76.       The word “crush” in the first paragraph means_____

(1) pressure   (2) love   (3) experience   (4) relationship

ถาม คำว่า “crush” ในย่อหน้าแรก หมายถึง______

1.   1 ความกดดัน 2. ความรัก 3. ประสบการณ์ 4. ความสัมพันธ์

ตอบ 2  crush (n.)ในที่นี้เน้นภาษาพูด แปลว่า ความรู้สึกรักอย่างรุนแรงในช่วงสั้นๆหรือ ความหลงใหล

77.       The phrase “burn out” in the third paragraph is similar in meaning to________

(1) last    (2) fire    (3) disappear    (4) drop

ถาม วลี “bum out” ในย่อหน้าที่ 3 มีความหมายคล้ายกับคำว่า______

1. อยู่ได้นาน   2. ไฟ    3. หายไป   4. ลดลง

ตอบ 3  burn out (v.) แปลว่า มอดดับไปเอง

78.       According to the passage, the first love is______

(1) everlasting (2) weak (3) joyful (4) unforgettable

ถาม จากเนื้อเรื่อง ความรักครั้งแรก______

1.   1 คงอยู่ตลอดไป 2. เปราะบาง 3. เต็มไปด้วยความสุข 4. ไม่อาจลืมได้

ตอบ 4  จากย่อหน้าที่ 1

79.       According to the passage, most teenagers who fall in love________

(1) are close to mothers (2) use cocaine

(3) cannot maintain the relationship (4) feel happier than adults

ถาม จากเนื้อเรื่อง วัยรุ่นส่วนใหญ่ที่ตกหลุมรัก________

1.   มีความใกล้ชิดกับแม่ 2. เสพโคเคน 3. ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้ 4. รู้สึกมีความสุขมากกว่าผู้ใหญ่

ตอบ 3 จากย่อหน้าที่ 3

80.       When you are physically attracted to someone, you are in the________stage of love.

(1) first    (2) second    (3) third      (4) first and second

ถาม เมื่อคุณพึงพอใจในรูปกายของใครบางคน คุณอยู่ในความรักขั้น_______

1.   1 ที่หนึ่ง    2. ที่สอง    3. ที่สาม    4. ทั้งที่หนึ่งและที่สอง

ตอบ 1  จากย่อหน้าที่ 5 คือ ขั้นของความใคร่

81.    According to the passage_________.

(1)    teenagers never go to the attachment stage

(2)    love in teenagers is meaningless because it is short

(3)    we fall in love because love reminds US of our experiences during childhood

(4)    events occurring in the brain when we are in love have similarities with when we use cocaine

ถาม จากเนื้อเรื่อง_________

1.      วัยรุ่นไม่มีทางไปถึงขั้นความผูกผัน

2.      ความรักของวัยรุ่นไม่มีความหมายเพราะมันสั้น

3.      เราตกหลุมรักเพราะความรักเตือนเราให้ระลึกถึงประสบการณ์ไนวัยเด็ก

4.      สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองในช่วงที่เราตกหลุมรักจะคล้ายคลึงกับเวลาที่เราเสพโคเคน

ตอบ 4  จากย่อหน้าที่ 4

82.    When we are falling in love, we are in the stage.

(1) lust  (2) attraction  (3) attachment   (4) 1 or 2

ถาม เมื่อเรากำลังตกหลุมรัก เราอยู่ในความรักขั้น______

1.   1 ความใคร่    2. ความดึงดูดใจ   3. ความผูกพัน   4. ข้อ 1 หรือ 2

ตอบ 2  จากย่อหน้าที่ 5

83.    In what stage are teenagers in love when they spend endless hours talking, either on the phone or face to face ?

(1) first    (2) second    (3) third    (4) first or second

ถาม วัยรุ่นอยู่ในความรักขั้นใด เมื่อพวกเขาใช้เวลาหลาย ๆ ชั่วโมงไปกับการพูดคุยกัน ทั้งทางโทรศัพท์หรือเมื่ออยู่ต่อหน้ากัน

1. ที่หนึ่ง   2. ที่สอง    3. ที่สาม    4. ที่หนึ่งและที่สอง

ตอบ 2 จากย่อหน้าที่ 6 และ 7 คือ ขั้นความดึงดูดใจ

84.    Which of the following could best combine sentence 1 with sentence 2 in the first paragraph ?

(1) because   (2) so    (3) but    (4) although

ถาม คำใดต่อไปนี้เหมาะที่จะใช้เชื่อมประโยคที่ 1 กับประโยคที่ 2 ในย่อหน้าแรก

1.   1 เพราะว่า    2. ดังนั้น    3. แต่ว่า   4. แม้ว่า

ตอบ 1  เพราะประโยคที่ 1 เป็นผลของประโยคที่ 2

85.    The word “quickly” in paragraph 3 refers to_______

(1) the age of 15 (2) average 4 (3) 3 to 4 months (4) a year

ถาม คำว่า “quickly” ในย่อหน้าที่ 3 หมายถึง______

1.   1 อายุ 15 ปี     2. เฉลี่ย 4     3. 3 – 4 เดือน     4. หนึ่งปี

ตอบ 3 นั่นคือ ความสัมพันธ์ของวัยรุ่นจะจางหายไปอย่างรวดเร็วภายใน 3-4 เดือน

86.    Which word or words is/are analyzed in paragraph 5 ?

(1) researchers (2) lust (3) attachment phase (4) phases of love

ถาม     คำหรือกลุ่มคำในข้อใดที่ถูกพิจารณาในย่อหน้าที่ 5

1. นักวิจัย        2. ความใคร่     3. ขั้นความผูกพัน        4. ขั้นของความรัก

ตอบ 4  พูดถึงขั้นของความรัก 3 ขั้น

87. The ideas in paragraph 8 are the_______the ideas in paragraph 7.

(1)       reasons for       (2) causes of      (3) examples of (4) definitions of

ถาม     ใจความในย่อหน้าที่ 8 เป็น______ใจความในย่อหน้าที 7

1. เหตุผลของ  2. สาเหตุของ   3. ตัวอย่างของ            4. คำนิยามของ

ตอบ 3 ในย่อหน้าที่ 7 ผู้เขียนบอกว่าความรักของวัยรุ่นก็มีความสำคัญ โดยได้ยกตัวอย่างว่า มันสำคัญอย่างไรไว้ในย่อหน้าที่ 8

Passage 5

Grass covers nearly one-fourth of the whole earth. It provides food for people and animals. It protects hilly pastures from washing away. It carpets our lawns and parks. In Asia a giant grass, bamboo, is used to build houses, and to make tools, bowls, and even paper.

1 Much of the food we eat comes from grass. 2 Bread is made from flour, which is made by grinding the seeds of grasses. 3 The seeds of wheat and rye are the most common grains used to make bread. 4 Corn, rice, oats, barley and millet are other grasses whose seeds are made into bread and cereals. Much of the sugar that sweetens GUI deserts was refined from stem juices of a giant grass, sugarcane.

Many of the world’s other animals eat grass, too. Cattle, sheep, goats and many wild animals live mostly on grass. They change this green grass into meat and milk, which people eat. Many meat-eating animals eat grass-eating animals, so their food, too, comes first from grass.

There are over six thousand different kinds of grasses in this huge plant family. Some of the grasses are tiny, hairlike, green strands. Others, like the giant bamboos, are as tall as trees.

Life on earth would be much poorer without grasses, for these green stems and leaves and nutritious seeds feed so many people and animals.

หญ้าปกคลุมพื้นที่เกือบ 1 ใน 4 ของโลก มันเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์และสัตว์ มันช่วยปกป้องเนินทุ่งหญ้าจากการถูกกัดเซาะ มันเป็นพรมปูสนามและสวนสาธารณะของเรา ในทวีปเอเชีย ต้นไผ่ ซึ่งเป็นต้นหญ้าขนาดยักษ์ถูกนำมาใช้สร้างบ้านและใช้ทำเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ ถ้วยขาม และแม้แต่กระดาษ

1 อาหารที่เรารับประทานจำนวนไม่น้อยมาจากหญ้า 2 ขนมปังทำมาจากแป้งซึ่งได้มาจาก การบดเมล็ดของตันหญ้า 3 เมล็ดของข้าวสาลีและข้าวไรย์เป็นเมล็ดธัญพืชส่วนใหญ่ที่ใช้ทำขนมปัง 4 ข้าวโพด ข้าวเจ้า ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ และข้าวฟ่าง ก็เน้นต้นหญ้าอีกชนิดหนึ่งที่เมล็ดของมันสามารถ นำมาใช้ทำขนมปังและธัญญาหาร (5)น้ำตาลที่เติมความหวานให้กับขนมของเรา ส่วนใหญ่ก็ได้มาจาก น้ำหวานในลำต้นของต้นหญ้าขนาดยักษ์ นั่นคือ ต้นอ้อย

สัตว์อื่น ๆ ในโลกส่วนใหญ่ก็กินหญ้าด้วยเช่นกัน วัว ควาย แกะ แพะ และสัตว์ป่าอีกจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็อาศัยหญ้าเป็นอาหาร พวกมันเปลี่ยนหญ้าสีเขียวนี้ไปเป็นเนื้อและนมให้มนุษย์กิน สัตว์กินเนื้อ จำนวนมากกินสัตว์กินหญ้า ดังนั้นอาหารของพวกมันเดิมทีก็มาจากหญ้าเช่นเดียวกัน

ในตระกูลพืชที่ยิ่งใหญ่นี้ มีหญ้าชนิดต่าง ๆ มากกว่า 6 พันชนิด บางชนิดเป็นเส้นเกลียว ลีเขียว เล็ก ๆ คล้ายเส้นผม บางชนิดสูงเท่าต้นไม้ เช่น ต้นไผ่ยักษ์

ชีวิตต่าง ๆ บนโลกคงแย่ลงมากหากปราศจากต้นหญ้า เพราะลำต้นและใบเขียว ๆ รวมทั้ง เมล็ดที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการของมันเหล่านี้ คืออาหารของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย

88.       What is the main idea of paragraph 1 ?

(1)       Grass is useful.

(2)       Bamboo is a kind of grass.

(3)       Grass provides a good playground.

(4)       Grass covers nearly one-fourth of the earth.

ถาม     อะไรคือใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 1

1. ต้นหญ้ามีประโยชน์    2. ไผ่เป็นหญ้าชนิดหนึ่ง

3. หญ้าทำให้สนามเด็กเล่นดี  4. หญ้าปกคลุมพื้นที่เกือบ 1 ใน 4 ของโลก

ตอบ 1 ผู้เขียนพูดถึงต้นหญ้าว่ามีประโยชน์อย่างไร

89.       In paragraph 1, “carpets” is closing in meaning to_____.

(1) spreads         (2) covers  (3) provides       (4) gives

ถาม     ในย่อหน้าที่ 1 คำว่า “carpets” มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า 

1. ปู     2. ปกคลุม       3. จัดหาให้      4. ให้

ตอบ 1 ในที่นี้ carpets เป็นคำกริยา (vt.) แปลว่า ปู (ด้วยพรม/เหมือนพรม) มีความหมาย ใกล้เคียงกับคำว่า spread (vt.) = แผ่ ปู ลาด (ให้เรียบ)

90.       It cannot be concluded from paragraph 1 that_____.

(1) animals eat grass          (2) grass preserves pastures .

(3) bamboo originated in Asia (4) grass can be used for shelter

ถาม     จากย่อหน้าที่ 1 ไม่สามารถสรุปได้ว่า______        

1. สัตว์กินหญ้า            2. หญ้าช่วยรักษาเนินทุ่งหญ้าเอาไว้

3. ไผ่มีต้นกำเนิดในเอเชีย        4. หญ้านำมาทำเป็นที่อยู่อาศัยได้

ตอบ 3  เพราะเพียงแค่บอกว่า ในเอเชียมีการนำไผ่มาทำเป็นเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ไม่ได้ หมายความว่าต้นไผ่มีต้นกำเนิดในเอเชีย

91.       Sentence_____is the topic sentence in paragraph 2.

(1) 1    (2) 2    (3) 3    (4) 4

ถาม     ประโยคที่_______คือ ประโยคใจความสำคัญของย่อหน้าที่ 2

1. 1      2. 2      3. 3      4. 4

ตอบ 1 ส่วนประโยคที่ 2-5 เป็นประโยคขยายความประโยคที่ 1

92.       According to the passage, grass________

(1) is usually grown professionally (2) plays a small role in the food chain

(3) can be easily grown by anyone (4) feeds both man and animals

ถาม จากเนื้อเรื่อง หญ้า_______

1.   โดยปกติมีการปลูกกับเป็นอาชีพ 2. ไม่ค่อยมีบทบาทในห่วงโซ่อาหาร 3. ใคร ๆ ก็ปลูกได้ไม่ยุ่งยาก 4. เป็นอาหารให้กับทั้งมนุษย์และสัตว์

ตอบ 4  จากย่อหน้าที่ 2  3 และ 5

93.       How many giant grasses are mentioned in the passage ?

(1) 1         (2) 2        (3) 3       (4) 4

ถาม มีหญ้าขนาดยักษ์กี่ชนิดที่กล่าวถึงในเนื้อเรื่อง

1.1                    2. 2               3. 3              4. 4

ตอบ 2  คือ ต้นไผ่ และต้นอ้อย

94.       According to the passage, bread cannot be made from_______

(1) millet    (2) corn    (3) sugarcane      (4) rice

ถาม ตามเนื้อเรื่อง ขนมปังไม่สามารถทำมาจาก______

1.   ข้าวฟ่าง      2. ข้าวโพด        3. อ้อย       4. ข้าวเจ้า

ตอบ 3  จากย่อหน้าที่ 2

95.       If you want to know about the physical appearance of grass, you have to read paragraph_________

(1) 1          (2) 2          (3) 3          (4) 4

ถาม หากคุณต้องการรู้เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของหญ้า คุณต้องอ่านย่อหน้าที่

1.1        2. 2         3. 3          4. 4

ตอบ 4 หญ้าบางชนิดเล็กเท่าเส้นผม บางชนิดสูงเท่าต้นไม้

96.       There are about______kinds of grass.

(1) 75         (2) 150         (3) 1,000        (4) 6,000

ถาม ต้นหญ้ามีประมาณ_______ชนิด

1.   75          2. 150            3. 1,000            4. 6,000

ตอบ 4  จากประโยคแรกของย่อหน้าที่ 4

97.       This passage leads US to believe that grasses are an important part of________

(1) farming (2) our food supply (3) our oceans (4) a greenhouse

ถาม เนื้อเรื่องนี้ชักนำให้เราเชื่อว่าหญ้ามีความสำคัญต่อ______

1.   1 การทำเกษตรกรรม 2. แหล่งอาหารของเรา 3. มหาสมุทรของเรา 4. เรือนเพาะชำ

ตอบ 2  จากย่อหน้าที่ 5ซึ่งผู้เขียนสรุปว่าหญ้ามีคุณค่าในฐานะที่เป็นแหล่งอาหารของเรา

98.       The writer feels that grass is______.

(1) valuable       (2) unnecessary

(3) hard to take care of     (4) grown in few places

ถาม     ผู้เขียนมีความคิดว่าหญ้า______ 

1. มีคุณค่า       2. ไม่มีความจำเป็น      3. ยากที่จะดูแล           4. ปลูกกันในไม่กี่พื้นที่

ตอบ 1  ดูคำอธิบายข้อ 97. ประกอบ

99.       We can conclude that grass is not______.

(1) a plant (2) common      (3) a tree   (4) None is correct.

ถาม     เราลามารถสรุปได้ว่า ต้นหญ้าไม่ใช่________    

1. พืช   2. พบได้ทั่วไป  3. ต้นไม้           4. ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3  จากประโยคที่ 3 ของย่อหน้าที่ 4 ที่บอกว่าหญ้าบางชนิดสูงเท่าต้นไม้ แสดงว่าหญ้าไม่ใช่ต้นไม้

100.    This passage is basically______.

(1) narrative      (2) imaginative (3) comical         (4) factual

ถาม     โดยพื้นฐานเนื้อเรื่องนี้มีลักษณะ_______

1. เชิงบรรยาย              2. เชิงจินตนาการ          3. เชิงขบขัน  4. เสนอข้อเท็จจริง

ตอบ 4  เป็นการเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสำคัญของหญ้า

Advertisement